(Featured image courtesy of Zeiss)
ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ
บทความนี้ไม่ได้รับการตอบแทนในรูปแบบใด ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงส่วนลด เงิน สิ่งแทนเงิน หรือสิ่งของ
บริการที่ปรากฎในบทความนี้ได้รับโดยการจ่ายเงินจากผู้โพสต์เองทั้งสิ้น
บทความนี้ไม่ได้รับการทวนสอบโดยแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เขียนไม่รับประกันความถูกต้องของเนื้อหา
ได้เรื่องเขียนบล็อกสักที!
เมื่อเร็วๆ นี้ไปผ่าตัดแก้สายตาสั้นมา สรุปลงเอยที่ผ่า ReLEX SMILE กับอาจารย์ตุลยา ตั้งศิริพัฒน์ ที่ศูนย์ตาท็อปจักษุ แถวปากเกร็ด
ผ่านมาได้ไม่กี่วันก็ซ่าแล้ว และนี่คือเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ผ่าทำไมก่อน
นั่นสิ คนเราจะอยากผ่าตาทำไม
สายตาเราสั้นไม่น้อย แต่ก็ไม่เยอะ (ข้างละประมาณ 500) และมีเอียงผสมนิดหน่อย ดังนั้นมองอะไรไกลๆ ไม่ชัดเลย
คำตอบมีแค่ว่า “อยาก” ใส่แว่น แต่ไม่อยาก “ต้อง” ใส่แว่น คือรู้สึกว่าแว่นเนี่ย ใส่แล้วมัน charismatic ดี แต่อยากมีโมเมนต์ถอดแว่นกับเค้าบ้าง ไม่อยากตื่นมาตอนเช้ารีบๆ แล้วต้องหาแว่นใส่ก่อน อะไรประมาณนี้
ถ้าไม่นับปัญหานี้แล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับแว่นเลย โชคดีที่ปกติตัดแว่นกับร้านที่เชื่อใจ เชื่อมือ และแว่นออกมาคุณภาพดีตลอดอยู่ด้วยแล้ว (แว่นตาแปซิฟิก ตรงอนุเสาวรีย์ชัย)
วันดีคืนดีคุยกับพี่วิ HR สุดน่ารักจากที่ทำงาน พี่วิแนะนำแค่ว่า “ผ่าเถอะ ดีจริง” แล้วด้วยความที่มั่นใจว่าเราอายุยังน้อย แต่สายตานิ่ง ไม่เปลี่ยนแล้ว ก็เลยคิดว่าเอาวะ ผ่าเลยแล้วกัน
หาที่ผ่า และวิธีผ่า
พยายามจะ rule in-out วิธีผ่าต่างๆ ออกจากกัน ปกติแล้ววิธีการผ่าสายตามีหลายแบบ แต่ย่อยเหลือได้แค่ประมาณนี้
LASIK
เปิดรอบดวงตาเป็นวงกลม ยาวๆ เกือบครบวงกลม
เฉือนกระจกตาชั้นกลางออกมา
ทีนี้ จะเปิดยังไง (ใช้มีดหรือเลเซอร์) จะเฉือนยังไง (ใช้มีด เลเซอร์ แสงต่างๆ) อันนี้นี่แหละที่จะทำให้ราคาต่างกันออกไป
ส่วนตัวเลือกได้ ขอไม่เปิดกระจกตาดีกว่า ยังอยากถือ pilot licence ได้ (ถ้าเข้าใจไม่ผิด LASIK แล้วจะมีปัญหา)
ถ้าคนที่บริษัทมาอ่าน เดี๋ยวผมเป็นนักบินรายต่อไปของบริษัทเองครับ อิ____อิ
PRK
ลอกกระจกตาแทนการเฉือนกระจกตา
แต่จะมีแผลบนดวงตาเป็นวงกลมกินพื้นที่เยอะๆ ไม่ใช่แค่แผลเปิดเอากระจกตาออกมา
เค้าบอกว่าทนกว่าวิธีอื่นสุดแล้ว นักบินทำวิธีนี้กัน แต่เจ็บสุด หายยากสุด
rule out ทันทีเพราะช่วงนี้งานเดือด ลายาวๆ ยาก
ReLEx
ใช้เลเซอร์ตัดกระจกตาเป็นเลนส์ส่วนเกิน
เปิดแผล 2-4mm แล้วเอาเลนส์ส่วนเกินนั้นออก
ดูเป็น compromise ระหว่างสองวิธีแรกดี
อย่างเดียวที่ไม่ compromise คือกระเป๋าสตางค์ ทำครั้งเดียวอาจจะทำวิธีบนๆ ได้สองคน
ทีนี้ ReLEx เป็นชื่อวิธีผ่าตัด แต่ SMILE, CLEAR เป็นชื่อการค้า เหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กับมาม่า ไวไว โรงพยาบาลมีเครื่องยี่ห้อมาม่า อีกโรงพยาบาลมีเครื่องยี่ห้อไวไว
แต่ปกติที่เราเห็นกันก็จะเป็น ReLEx SMILE ใช้เครื่องของ Zeiss ซึ่งหมอบางคนบอกว่าเครื่องของ Zeiss เป็นเครื่องเดียวที่ FDA approved (หรือ cleared) ให้ใช้ในการผ่าแบบนี้ (ไม่ใช่แบบที่ใช้เลเซอร์ทำ LASIK)
ICL
ใส่เลนส์เสริม กรณีโน่นนี่นั่นบางเกินกว่าจะถูกเฉือนออกไป
โ ค ต ร แ พ ง ยิ่งกว่า ReLEx
สรุปก็เลยทำ ReLEx SMILE เพราะจ่ายไหว แผลเล็ก เผื่อใครยังนึกภาพไม่ออก วิดีโอนี้ทำให้เห็นภาพได้ดี
VIDEO
ทีนี้ก็ได้เวลาเลือกที่ทำ
TRSC
ตอนแรกว่าจะทำที่นี่เลย เข้าเว็บไปแล้วประทับใจมาก โห ข้อมูลมีครบหมด
เทียบราคากับที่อื่นแล้ว rule out ทันทีจ้า
รพ.จุฬา
สมิติเวชไชน่าทาวน์
ดูดีเลย ราคาไม่ได้แรงกว่าโรงพยาบาลจุฬามาก
ทำเสร็จมีห้องพักให้นอนหนึ่งคืนด้วย จ่ายเพิ่มจากจุฬานิดหน่อย (ที่แปลว่าก็เยอะอยู่) แต่แลกกับสะดวกก็โอเคแหละมั้ง
ทำเสร็จฝากรถไว้แล้วขอไปกินข้าวเยาวราชหลังออกจากโรงพยาบาลคืนนึงได้ไหม…
ศูนย์ตาท็อปจักษุ
เอ้ย ใกล้บ้านดี นั่งรถไฟฟ้าชิลๆ 30 นาที
ถูกที่สุดในสามที่ที่ผ่านมา ReLEx บางวันมีโปรเหลือ 79,000 รวม pre-op check และ f/u 5 ครั้งด้วย
โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง)
น่าจะถูกที่สุดในประเทศ ที่ 74,000 ไม่รวมตรวจอื่นๆ
แต่ไม่อยากขับรถนนทบุรีนครปฐมไป follow up
ถ้ายังอยู่บ้านพ่อแม่ที่นครปฐม ไม่มีเหตุผลเลยที่จะไม่ทำที่นี่
ก็เลยตกลงไปทำที่ศูนย์ตาท็อปจักษุ
วันตรวจตาก่อนผ่า (work-up)
ของเราตั้งใจตรวจและผ่าตาคนละวัน ตรวจวันพุธ ผ่าวันศุกร์ถ้าผ่าได้
ไปตรวจตาทำอะไรบ้าง
วัดค่าสายตา พร้อมกับต้องตอบคำถามให้ได้ว่าสายตานิ่งหรือยัง ของเรามีเลขจากแว่นตาและร้านตัดแว่นตาไปให้ช่วยดู
วัดความดันลูกตา จะมีเครื่องเป่าลม ปุ๊! ปุ๊! ปุ๊! (สามรอบ) เข้าลูกตา สะดุ้งอยู่
วัดปริมาณน้ำตา เอากระดาษกรองมาเสียบไว้ตรงใต้ตา มันจะระคายเคือง แล้วน้ำตาไหล ทิ้งไว้แป๊บนึงแล้วดูว่าน้ำตายาวเท่าไหร่บนกระดาษกรอง
วัดความหนากระจกตา จะมีเครื่องปล่อยแสงสีฟ้าๆ หมุนๆ ต้องจ้องตาไว้ให้นิ่งๆ
จำได้แค่นี้ แต่กระบวนการตรวจนานมากๆ น่าจะกินเวลาถึง 2-3 ชั่วโมงเลย
ก่อนวัดความหนากระจกตา (มั้ง) ต้องหยอดยาขยายม่านตา ซึ่งเข้าใจว่าจะทำให้สู้แสงไม่ได้ และแน่ๆ คือจะมองใกล้ไม่ได้ไปแป๊บนึง ไม่แนะนำให้ขับรถมาเอง และพกแว่นดำไปใส่กลับบ้าน สบายใจดี
ตรวจเสร็จก็มีเจ้าหน้าที่มาบอกว่าผลเป็นอย่างไรบ้าง สรุปคือโอเคทุกอย่าง กระจกตาหนากว่าคนปกติพอสมควร (ของเรา 600 กว่าไมครอนมั้ง ถ้าจำไม่ผิดควรอยู่ 500 กลาง) น้ำตาผ่านเกณฑ์เลขสองหลัก
และเจ้าหน้าที่ก็ brief กระบวนการการผ่าคร่าวๆ ให้ ว่า ReLEx SMILE ต้องใช้ความร่วมมือจากคนไข้ ในการทำตาให้อยู่นิ่งๆ ให้ไปดูวิดีโอของคุณหมอแนะนำขั้นตอนการผ่านิดนึง ก่อนเจอหมอ (ซึ่งเราก็ดูไปรอบนึง ถึงจะดูและอ่านรีวิวทั้งไทยและเทศมาเกิน 20 ฉบับแล้วก็ตาม)
ทีนี้ก็เหลือมาให้หมอส่องตารอบสุดท้าย
เจอคุณหมอ
หลังจากตรวจตาเสร็จ ก็ได้เข้าไปคุยกับคุณหมอ คุณหมอส่องตาแล้วบอกว่าโอเคเลย ไม่มีปัญหา ผ่าได้ ทุกอย่างสวย
คุณหมอย้ำว่า compliance คนไข้สำคัญมากๆ ต้องทำตาให้อยู่นิ่งๆ ในเครื่องได้ ~30 วินาที ต้องไม่ขยับ ต้องมองจุดแสงนิ่งๆ และไม่ขยับแม้แสงจะหายไปแล้ว
ก่อนออกไป ถามคำถามที่สำคัญที่สุดกับคุณหมอ ว่า “เอาตุ๊กตาเข้าห้องผ่าตัดได้ไหม” หมอบอกว่าได้
เรียบร้อย กลับบ้าน วันนี้ยังไม่มีค่าใช้จ่าย
Pre-op anxiety
คืนก่อนผ่าความกลัวมาเยือน เพราะว่าถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะหัดจ้องนิ่งๆ มาพักนึงแล้วก็ตาม แต่คืนก่อนผ่าก็กลัวจ้องได้ไม่นิ่งพอ
ไปนั่งหารีวิวอ่านต่างประเทศเพิ่มอีก ว่าถ้าตาดุ๊กดิ๊กเล็กน้อย มันมีปัญหาไหม คำตอบคือไม่ค่อยน่ากังวล เพราะเครื่องเลเซอร์ detect ตาเราถี่มากๆ อยู่แล้ว ถ้ามันเจอตาเราหลุดไปไหน มันหยุดเลเซอร์ต่อทันที และตัวมันเอง compensate การขยับเล็กๆ เราได้
ทำใจให้สงบ นอน
วันผ่าตัด
บิบิ M และบิบิ L
วันผ่าตัดจะมีข้อกำหนดเรื่องการปฏิบัติตัวอยู่ ใดใด อาจจะต่างกันไป แต่หลักๆ คืองดสเปรย์ น้ำหอม แต่งหน้า ใส่เสื้อมีกระดุมหน้า
พาบิบิ L ซึ่งเป็น spiritual animal (และเป็นตัวแทนของบิบินับตัวไม่ถ้วนที่เลี้ยงดูอยู่) ไปผ่าตัดด้วย
วันผ่าตัดจะมีตรวจตาอีกครั้ง เข้าใจว่าตรวจสายตาเพื่อ final cross-check ว่าตาจะออกมาเป็นแบบนี้ มีแว่นให้ลองใส่หนึ่งอันว่ามองชัดไหม
มีเซ็นเอกสารที่เป็น consent form ระบุรายละเอียดต่างๆ ซึ่งท่อนที่สำคัญที่สุดสำหรับเราคือระบุว่าถ้า ReLEx แล้ว “suction lost” (เจอว่าตาขยับ) จะต้องเปลี่ยนเป็นไปทำวิธีอื่นทันที (ซึ่งไม่อยากทำ) แล้วก็ทำพิธีกรรมที่สำคัญที่สุดคือรูดบัตรจ่ายเงินที่ 79,120 บาทถ้วน (120 บาทค่าบริการโรงพยาบาล)
เสร็จแล้วก็เข้าห้องเตรียมผ่าตัด บอกพยาบาลห้องผ่าตัดว่าขอเอาตุ๊กตาเข้าไปอีกรอบ พยาบาลกังวลว่าตุ๊กตาตัวใหญ่แค่ไหน พอหยิบออกจากกระเป๋าให้ดูก็ยิ้ม แล้วบอกว่าพาเข้ามาได้เลย
สวมชุดผ่าตัดทับชุดที่ใส่มา (ซึ่งแนะนำให้ใส่ชุดแขนยาวมา อากาศอาจจะเย็นนิดนึง) แล้วก็นั่งพักผ่อนสักพักนึง พยาบาลเอายาแก้กังวลมาให้กินก่อนหนึ่งเม็ดพร้อมกับพารา เสร็จแล้วก็เริ่มทาฆ่าเชื้อทั้งหน้า และหยอดยาชาเข้าตา
พอถึงเวลาได้ยินคุณหมอบอกว่า “พร้อมนะ” ก็ตอบไปว่าพร้อมครับ คุณหมอช่วย reassure ว่า “ไม่ต้องกังวล เราอยู่ด้วยกันตลอด” และแถมให้ด้วยว่าเพราะเราผ่าคนแรกของวัน และมาก่อนเวลานัด เรามีเวลาอยู่ด้วยกันหนึ่งชั่วโมงยาวๆ ถ้ากังวล ถ้าไม่สบายใจอะไร มีเวลาคุยกันตลอด
เสร็จแล้วก็เข้าห้องผ่าตัดกับเหล่าคุณผู้ช่วยไปก่อน
Image courtesy: Zeiss, Fair Use
เครื่องผ่าตัดจะเป็นแบบนี้ เครื่องขวาเอาไว้ทำอะไรไม่รู้ แต่เราจะใช้กันเฉพาะเครื่องซ้ายที่เป็นเครื่องเลเซอร์ เราจะนอนลงก่อน แล้วจะหมุนเตียงเข้าไปใต้เครื่อง
คุณผู้ช่วย (ผู้ชาย เสียงนุ่มๆ) ช่วยมา calm เราแล้วบอกว่า เรามีสามอย่างที่จะต้องช่วยกัน
ความกลัว ห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นปล่อยไป สัญญาว่ายังไงอยู่ด้วยกันตลอด ต้องทำอะไรบ้าง จะมีเจ้าหน้าที่บอกอยู่ใกล้ๆ อยู่แล้ว
เจ็บ ไม่ต้องกลัวเลย อัดยาชาเต็มที่อยู่แล้ว
compliance คือเรื่องเดียวที่ขอ ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือจ้องแสงเลเซอร์ และจ้องจนกว่าเจ้าหน้าที่จะบอกว่าหยุด ห้ามขยับตา
Image courtesy: Zeiss, Fair Use
เครื่องจะประกอบไปด้วยสอง “หัว” ละกัน
หัวแรก (หัวดำๆ ในภาพ) คือหัวที่หมอเอาไว้ส่องตา เวลาคีบชิ้นเนื้อออก มีไฟสีขาวๆ ช่วยให้แสง
หัวที่สอง (ตรงสีฟ้าๆ) อันนั้นแหละคือหัวเลเซอร์ที่จะมาจุ๊บตาเราตอนทำ
คุณเจ้าหน้าที่เลื่อนเตียงไปใต้หัวแรก บอกว่ามาซ้อมกันก่อน มองไฟสีขาวไว้นิ่งๆ แล้วก็ทดสอบ reflex เรา เอานิ้วมาวนๆ (ว่าไม่กรอกตาตาม) มาจิ้ม (ดูว่าสะดุ้งไหม)
“โห นิ่งมาก ไม่ห่วงละ” คุณเจ้าหน้าที่บอกแบบนี้ ซึ่งเราสบายใจไปมาก
สักพักนึง คุณหมอเดินเข้ามา คุยกันว่าพร้อมนะ แล้วก็มาคุยกับเรา เจอเรากอดตุ๊กตาไว้ในมือข้างนึง
“นี่เหรอตุ๊กตาที่บอกจะพามาด้วย” “ใช่ครับ” “น้องชื่ออะไรเอ่ย” “แทนครับ” “น้องแทน… หมายถึงน้องตุ๊กตานี่นะ ชื่ออะไรคะ” “อ๋อ ชื่อบิบิครับ 555555” “น่ารักๆ กอดมาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่าคะเนี่ย” “มากอดตอนโตนี่ละครับ 55555555555”
ขำกันรอบวงห้องผ่าตัดหนึ่งกรุบ
ก่อนผ่าจริงมีทวนชื่อและนามสกุล คุย cross-check กันเต็มไปหมด (น่าจะเพื่อตั้งค่าเครื่อง)
เสร็จแล้วก็ผ่า เริ่มจากผ่าตาขวาก่อน
มีกระดาษมาปิดตาซ้าย เทปกาวมาติดหนังตา แล้วก็อะไรสักอย่างมาถ่างตาขวาไว้ ซึ่งเราจะกระพริบไม่ได้แล้ว (แม้ว่าจะกังวลว่าโดยธรรมชาติเราเป็นคนกระพริบตาบ่อยแค่ไหนก็ตาม)
ใจสั่นมาก หมอค่อยๆ เอาหัวเลเซอร์มาจุ๊บตาเรา เราเห็นแสงสีเขียวกลางตา หมอบอกว่าดีมาก นิ่งนะ เสร็จแล้วก็เริ่มให้เลเซอร์ทำงาน พี่พยาบาลมาจับแขนเรา แล้วค่อยๆ ปลอบ
เราจะรู้สึกเหมือนมีหมอกเกิดขึ้นจากขอบตา ไล่มาตรงกลางตา พอไล่มาปุ๊บ เลเซอร์จะหายไป แน่นอน ห้ามขยับ จนกว่าหมอจะบอกว่าเสร็จ
ดูวิดีโอว่าในตารู้สึกประมาณไหนได้ที่นี่ 1:20
เราเกร็งมาก เกร็งทั้งตัว แต่ตาพยายามให้ไม่ขยับเลย กอดบิบิไว้แน่นมากๆ รู้ตัวอีกทีก็เสร็จแล้ว
“ดีมาาาากกกกกก” หมอบอกหลังขยับตัวเราออกจากหัวเลเซอร์ มาคีบชิ้นเนื้อตาออก
วิธีการช่วยหมอเวลาคีบเนื้อตาออก คือหมอจะบอกว่าให้เราจ้องไฟสีขาว แล้วถ้าไฟขยับ (ที่แปลว่ามัน distort แสง เพราะมีอะไรบางอย่างกำลังโดนดึงออกจากตา) ห้ามขยับตาม ตรงนี้ทุลักทุเลนิดนึงเพราะเราเผลอขยับตาม แต่ไม่ใช่ท่อนที่เลเซอร์ทำงาน ซึ่ง critical ที่สุด
หลังจากนั้นก็มาต่อตาซ้าย เราโล่งใจไปเยอะมาก เพราะคิดว่าตาขวาเราช่วยหมอได้ดี
ปรากฎว่าตอนจุ๊บกับตาขวา เรารู้สึกว่าแสงสีเขียวที่ว่าเนี่ย มันไม่ได้อยู่ตรงกลางตาเรา แล้วพอเราพยายามขยับไปมองเลเซอร์ มันก็ขยับหนีเรา (ทั้งหมดเกิดขึ้นตอนที่ยังไม่ได้ยิงเลเซอร์จริงๆ)
หมอเห็นท่าไม่ดี หมอถอนหัวจุ๊บเลเซอร์ออก ถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เราอธิบาย แล้วหมอก็บอกว่าโอเค งั้นลองใหม่ จุ๊บหัวเลเซอร์ลงตาเราใหม่
ซึ่งปัญหาเดิมก็ยังอยู่ คือแสงเขียวๆ มัน off ไปทางขวาเรา แต่มีจุดนึงที่เรามองแล้วแสงมันไม่ขยับตาม คือมองเหลื่อมไปทางซ้ายเลเซอร์นิดๆ หมอบอกว่าจุดนี้ดีมากๆ อยู่ให้ได้นิ่งๆ ก็พอ ตกลงกับหมอว่าโอเค เลเซอร์ทำงานเหมือนเดิม
เรียบร้อย เกร็งเหมือนเดิมอีกข้าง และทำเสร็จไปอีกข้าง คีบเลนส์ออกซึ่งรู้สึกว่าตอนเลเซอร์ทำได้ดีมาก แต่ตอนคีบออกช่วยหมอได้ไม่ดีเหมือนเดิม
หลังจากนี้จำอะไรไม่ค่อยได้ แต่รู้สึกว่าได้รับคำชมจากเจ้าหน้าที่ทั้งห้องผ่าตัด รวมถึงคุณหมอ เสร็จแล้วก็หมุนเตียงกับคืนที่เดิม
พอลุกออกจากเตียง สิ่งที่เห็นคือทุกอย่างเหมือนแว่นขึ้นฝ้า แต่มันเห็นขอบผนัง ขอบเพดานชัด!!! ซึ่งเราหัวเราะออกมาเลย แบบ 5555555555555 นี่คือ first step to HD vision สินะ
ออกมา คุณหมอตรวจตาเสร็จ แล้วก็ไปเตรียมกลับบ้าน
ยาชาหมดฤทธิ์
ตอนผ่าเสร็จไม่เจ็บเลย สบายมาก และเร็วมากด้วย เร็วจนเสร็จก่อนเวลาที่นัดคนมารับเอาไว้
ทีนี้แหละ ผ่านไปสักพัก ยังไม่ทันมีคนมารับ ยาชาหมดฤทธิ์ เจ็บ น้ำหูน้ำตาไหลพรากๆ
ทุกการผ่าตัดเป็นแบบนี้จริงๆ ออกมาจากห้องจะซ่าเลย พอยาชาหมดเท่านั้นแหละ ร้องเป็นหมา (ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้ามีผ่าฟันคุด และเล็บขบมาแล้ว แต่ผ่าตานี่เจ็บน้อยสุดเทียบกับสองอย่างที่ว่ามาหลังยาชาหมดนะ ไม่เรียกเจ็บด้วยซ้ำ เรียกแสบ)
คนมารับ กลับบ้าน กินยา นอน
นอนไปได้สักพักก็ตื่นมา ตื่นก็หยอดน้ำตาเทียม ฟัง podcast ไปเรื่อยๆ (Pro tip: เตรียม podcast รอไว้ยาวๆ เลย ของเราได้ฤกษ์ฟัง “30 ยังจ๋อย” ตอนของพี่เอิ๊ต ภัทรวี กับพี่แชมป์ ทีปกร แล้วก็ Lateral ของ Tom Scott)
ภรรยากลับมาจากทำงานต่างจังหวัด เช็ดตา ดูแล ปิดตาให้ แล้วก็นอน
ทำไมต้องเช็ดตา คำตอบง่ายๆ เลยคือดวงตาคู่นี้จะโดนน้ำไม่ได้ไปอีกหลายวันพอสมควร และตอนนอนต้องใส่ฝาครอบตา ช่วยไม่ให้เผลอไปขยี้ตา
ระหว่างนี้วันแรกต้องหยอดน้ำตาเทียมอัดๆๆๆ ไว้ทุก 15 นาที และหยอดยาฆ่าเชื้อวันละสี่เวลา
หมออาจจะ prescribe น้ำตาเทียมต่างยี่ห้อกันไป แต่ของเราใช้ Vislube ซึ่งได้ยินว่าแพงกว่ายี่ห้ออื่น ตอนเปิดฝาทำหยดลงมือหนึ่งหยด แล้วพบว่ามันเหนียวหนืดมาก น่าจะช่วยให้ตาชุ่มได้ยาว
วันที่สอง
เค้าบอกวันนี้ใช้สายตาได้แล้ว แต่ก็พยายามจะเพลาๆ อยู่ก่อนละกัน ที่สำคัญคือใส่แว่นดำออกจากบ้าน (กราบขอบพระคุณคุณพ่อ ให้ขโมย Ray-Ban พับได้มาใช้ พกสะดวกมากๆ)
อ้อนคุณภรรยาหน่อย
ไปตรวจตา ไม่มี concerns อะไรเป็นพิเศษ กลับมาหยอดยาและน้ำตาเทียมกันต่อไป
น้ำตาเทียมเหลือหยดชั่วโมงละครั้ง
เป็นไงแล้วบ้าง
มองไกลๆ คมมาก แต่มองใกล้ๆ ได้ไม่ดีเท่าตอนสายตาสั้น เหมือนเสียพลัง super vision
เจอ glow รอบแสงสว่างๆ เช่นอย่างตอนเขียนบล็อกนี้ก็เหมือนมีคนใส่ outer glow ให้ text กับถ้าเป็นหลอดไฟสว่างๆ มากๆ ก็จะเห็นแสงเป็นแฉกๆ เพิ่มขึ้นไปอีก
VIDEO
ให้ดูเอ็มวีนี้ไว้ แสงฟุ้งๆ แบบนี้คือแสงที่เห็นจริงๆ
ใส่แว่น
เหมือนที่บอก “อยาก” ใส่แว่น แต่ไม่อยาก “ต้อง” ใส่แว่น
สั่งแว่นกรองแสงอันละไม่กี่ร้อยมา แล้วก็พบว่าเออ แฮปปี้มั้ง แต่ใส่แล้วขอบโน่นนี่ที่มองเห็นมันฟุ้งขึ้นเล็กน้อย
เลยไปเดิน Ophtus สยาม พบว่าแว่นแพงก็เจอขอบฟุ้งขึ้นเล็กน้อยเหมือนกัน แต่แฟนบอกว่าเป็นแว่นที่ใส่แล้วทำให้เป็นหนุ่มแว่นที่ดีมีแต่คนเคลมว่าแว่นใช้ดีอยู่ เลยจัดมาอีกคู่
สรุปตอนนี้มีแว่นสี่คู่: แว่นกันแดดหนึ่ง แว่นเหลืองทำงานหน้าจอคอมหนึ่ง แว่นทรานซิชันส์ออกแดดแล้วมืดหนึ่ง และแว่นตัดแสงธรรมดาที่เลนส์ไม่เหลืองหนึ่ง
ทั้งหมดคนละทรง อยากเปลี่ยนลุคก็จิ้มๆ มาใส่เอา…
สรุป
release blog ออกมาก่อน เพราะว่าตอนนี้หลังทำแค่สองวันก็รู้สึกดีมากๆ แล้ว และกลับมาใช้สายตาได้เร็วกว่าที่คาด (ถึงจะพยายามเพลาๆ ให้ได้อยู่ก็ตาม)
หลังจากนี้ก็ follow up 1 สัปดาห์, 1 เดือน, 3 เดือน, และ 6 เดือน (รวมกับ 1 วันหลังทำแล้วก็เป็น 5 ครั้งถ้วน)
Update 1: ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์
หมอบอกโดนน้ำได้แล้ว ยังเห็นแสงฟุ้งๆ อยู่ ซึ่งปกติ