Author: srakrn

  • คิดถึงโรงเรียน / คิดถึงที่โรงเรียน

    ถ้าท่านได้อ่านบล็อกนี้ กรุณาอย่าแชร์ลิงก์ มันจะไม่ขึ้นที่หน้าแรกบล็อก


    (1)

    เราไม่รู้เรารักโรงเรียนไหม

    เราอยากกลับไปโรงเรียนนะ เราเคยกลับไปคนเดียวแบบไม่มีเพื่อนเป็น factor
    ก็พบว่ามันน่ารักดี อาจารย์ทุกคนทักว่าสูงขึ้น อาจารย์น็อตมาบอกว่าหนังสือรุ่นเข้าที่ประชุม อาจารย์ตูมยังตั้งใจทำงานและบ่นฝ่ายแนะแนว (แต่ก็ยังแก้งานของทางนั้นให้ด้วย)

    หน้าโต๊ะทำงานอาจารย์ตูมมีโพลารอยด์แผ่นนึง
    เป็นรูปเรากับอาจารย์แก

    เปิด Snapchat แคปชั่นมีหน้ายิ้ม


    (2)

    เราไม่อยากไปแตะชั้นสอง

    เรารู้สึกมีอตคิ (ที่น่าจะรู้กันดี) กับชั้นนี้

    นอกจากห้องอาจารย์แหม่มแล้ว เราไม่อยากไปชั้นนั้นเลย


    (3)

    เราขึ้นห้องไป อาจารย์ณรงค์ชัยยังนั่งฮาเฮ

    เป็นไงล่ะมึง ได้เจอแกสอนเทอมสองสมใจ ดีนะไม่มีอินทิเกรตสักเท่าไหร่เพราะเป็นทฤษฎี

    ยังให้แกดูดวงอยู่เหมือนเดิม


    (4)

    อาจารย์ตู่ไม่อยู่


    กลับไปโรงเรียนแล้วก็ได้อะไรแบบนี้เสมอแหละ แล้วก็ถามว่าเออคิดถึงโรงเรียนหรือเปล่า

    หรือคิดถึงแค่บางส่วนของโรงเรียน

    ถ้าไม่นับชั้นสอง (ซึ่งเป็นหัวใจของที่นั่น) การที่เราคิดถึงที่นี่ (แต่ไม่คิดถึงหัวใจของมัน) นี่คือคิดถึงโรงเรียนหรือเปล่า

    ถ้ารักอะไรบางอย่างที่นี่ (มากพอที่จะให้กำเนิด srakrnARSE, Admission Web และยอมให้ตั้งโล่ NLC ไว้ที่นั่น) แบบนี้นี่นับว่ารักโรงเรียนได้หรือเปล่า (ในเมื่อมึงก่นด่าไว้เสียเละในหนังสือรุ่น)

    ถ้าภูมิใจว่าเราเคยมานั่งตรงนี้ แต่ไม่เคยอยากออกปากว่าจบจากที่นี่ นับว่าภูมิใจในที่นี่หรือเปล่า

    ใช่ อยู่ชั้นสองก็คงคิดถึงบ้างน่ะแหละ
    คิดถึงเงิน

  • เป้าหมายปี 2560

    เป้าหมายปี 2560: ทำให้โลกนี้ดีขึ้น

    แม่งเอ๊ย ฟังหล่อฉิบหายเลยคุณ


    (1)

    ผมนั่งคุยกับมิตรสหายท่านหนึ่งใต้ถุนตึกภาคคอม แปลกใจไม่น้อยว่าเรามาเจอกันที่นี่

    “คุณก็รู้ว่า mindset ชนชั้นกลางเป็นยังไง สุดท้ายทุกอย่างของชนชั้นกลางคือ money profit”

    ผมตั้งคำถามว่าสำหรับหลายๆ คน การลืมตาอ้าปากเป็นเรื่องที่ดี แล้วเหตุไฉนใครสักคนจะยอมทิ้งกำไรชีวิต ความสะดวกสบายไปได้

    “ผมพูดเลยนะว่าผมมองแบบอีลีท แต่ผมถามหน่อยว่าทุกครั้งที่คุณเจอ Service charge 10% กับร้านอาหารที่บริการคุณดีทั้งที่เค้าจะบริการมาตรฐานก็ได้ ทำไมคุณถึงกล้าบอกว่าคุณจะไม่ทิปเค้าเพราะมี Service charge แล้ว”

    “ครั้งหนึ่งที่ผมไปร้านอาหารผมหิ้วขนมไปให้ด้วย เป็นครั้งแรกของที่นั่น พนักงานบอกว่าขอบคุณและบอกว่าเขาไม่เคยมีโอกาสได้หยุดแบบนี้ คุณคิดดูนะ ร้านอาหารเปิดสิบโมงปิดสี่ทุ่ม เวลาเตรียมเปิดร้านปิดร้านล่ะคุณ”

    ผมเริ่มเห็นความบิดเบี้ยวช้าๆ

    “ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ถ้าการงานของผมมันได้ดิบได้ดีรวยอู้ฟู่ แต่มัน based บนความเดือดร้อน ความไม่เป็นสุขของคน ผมคงทำไม่ได้”

    ก่อนจบบทสนทนา ผมขอบคุณเขา เก็บบทสนทนามาครุ่นคิดอยู่หลายวัน


    (2)

    มันเป็นบ่ายวันหนึ่งในจุดแออัด ร้านกาแฟฟรานไชส์ทำหน้าที่จุดหย่อนก้น

    แขกตรงหน้าผมคราวนี้อาจไม่ใช่คนที่ผมคุยด้วยบ่อยมากนัก เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เราเจอกัน

    เขาเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของเขา – เขาบอกว่าเขาได้รับโอกาสจากคนคนหนึ่งในวันที่ชีวิตเขาหักเห

    “โลกเรามันมีคนต้องการโอกาส แต่คนให้โอกาสมันน้อย”

    “จริงๆ นะ ถ้ามองว่าการ offer โอกาสคือการ trade กันแบบพึ่งพาไปเรื่อยๆ วันนึงเราจะแข็งแกร่งและประเทศชาติจะแข็งแกร่ง คุณก็คงเห็นด้วย”

    ใช่ ผมเห็นด้วย

    “ไม่ต้องถึงประเทศหรอก เอาแค่คนที่คุณ offer อะไรให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นแค่นั้นก็ดีแล้ว”

    เรื่องราวหลายอย่างพรั่งพรูผ่านบทสนทนา มุมมองของผมต่อโลกที่ดีกว่านี้หนักแน่นขึ้น

    คงไม่บังเอิญเท่าไหร่ที่ได้ยินเรื่องราวแบบนี้จากคนสองคนติดๆ กัน


    อันที่จริงคำว่า “ทำให้โลกนี้ดีขึ้น” แม่งกว้างจนไม่สามารถบอกตัวเองได้ด้วยซ้ำในปลายปีหน้าว่าทำสำเร็จหรือไม่

    แต่ถ้ามันคือความตั้งใจ อย่างน้อยก็ได้แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งของความตั้งใจที่ทำอะไรลงไปมันจะทำให้โลกนี้ดีขึ้นไม่ในทางใดก็ทางหนึ่งจริงๆ

    มันอาจจะเป็นข้าวหนึ่งมื้อของเด็กตัวมอมแมมข้างถนน เศษเสี้ยวของเงินที่บริจาคไปสมทบต้นทุนของวิกิพีเดีย ข้าวในบ้านเด็กกำพร้า โค้ดที่ pull request ขึ้นไปบนไลบรารี่ วางมือถือไว้เฉยๆ เพื่อบริจาคน้ำไปให้เด็กในแอฟริกา หรืออย่างอื่น

    น่าจะเป็นเป้าหมายที่ทำได้ง่าย (รวมถึงอ้างว่าทำไปแล้วได้ง่าย) และทำได้ยากที่สุดแล้ว

    เอาเถอะวะ ไม่เสียหาย
    ขอให้โอกาสตัวเองแล้วกัน

  • อคติที่ทำให้เรามองบางอย่างเปลี่ยนไป

    [เขียนโดยสรุปความรู้สึกตัวเองจากการอ่าน Medium และพูดคุยกับคุณแพค ต้องขอบคุณอย่างสูง ณ ที่นี้มากครับ]

    อคติทำให้เรารับเหตุผลข้างเดียว

    เมื่อคนเรามีอคติก่อตัว เป็นความจริงที่ว่าเราเลือกรับฟังเหตุผลน้อยลง และเลือกที่จะ “มอง” จุดผิดพลาดของคนอื่นมากขึ้น

    และเมื่อเรามองจุดผิดพลาดของคนอื่นมากขึ้น ถึงวันหนึ่งที่เขาล้ม เราก็อาจเหยียบย่ำเค้า

    หากถามว่าการมองข้อผิดพลาดคนอื่นและเลือกที่จะฝังติดตรึงมันเป็นเรื่องเลงร้ายไหม ผมและหลายคนอาจจะบอกว่ามันปกติ

    แต่หากมองลึกลงไป เมื่อเรื่องเหล่านี้ก่อตัวเป็นเมฆครึ้มที่ปิดความใจกว้าง เมื่อนั้นเราก็อาจเลือกปฏิบัติกับผู้ที่เรามีอคติด้วยต่างออกไป

    หากถึงจุดหนึ่งที่เราเหยียบย่ำ ซ้ำเติม และกดหัวคนผิดพลาดให้เราจมปลัก นั่นก็หมายถึงเรากำลังปฏิบัติต่อเขาในรูปแบบที่ไม่ใกล้กับสิ่งที่เราปฏิบัติกับเพื่อนมนุษย์

    สุดท้ายแล้ว แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากเราเลือกที่จะไม่ “ก้าวข้าม” อคติและความรู้สึกแย่ต่อใครสักคน เมื่อถึงจุดวิกฤติ เราก็คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเรากำลังลดทอนความเป็นคนของใครสักคนอยู่ช้าๆ เช่นกัน

  • การเดินทางขากลับคงจะเหงา

    “แทน มีฟอนต์อะไรแนะนำป่ะ”

    “มี”

    ผมตอบ พลางเปิดเว็บกูเกิลฟอนต์ โหลดฟอนต์ให้เพื่อน
    ข้อความหลายรูปแบบขึ้นมาแสดงตัวอย่างฟอนต์ที่ต่างกัน สายตาสะดุดข้อความหนึ่ง

    untitled

    “การเดินทางขากลับคงจะเหงา”


    p_20161110_093917

    การเดินทางคนเดียวคงจะเหงา?

    ผมนั่งครุ่นคิดถึงวลีนี้ ไม่รู้เพราะอะไรทำให้ผมจำคำว่า “ขากลับ” เป็นคำว่า “คนเดียว”

    อาจจะเป็นเพราะผมมาคนเดียว หรือเพราะผมรู้สึกคนเดียวมานานแล้ว

    ถ้าแบบนั้น การเดินทางคนเดียว ไม่ว่าขาไปหรือขากลับ ก็เหงาเหมือนกัน?


    มีคนบอกว่าการเดินทางคือการเปิดโลกอีกใบ ฉีกวิถีชีวิตเก่าออกไปทำสิ่งใหม่

    เราอาจเจอเพื่อนร่วมทางในการเดินทางครั้งใหม่
    ได้เปิดโลก ได้พูดคุย เห็นสิ่งแปลกใหม่

    ผมนึกถึงเมื่อสมัยผมมีคนเดินทางด้วย เราไปเที่ยวที่ซ้ำๆ เดิมๆ
    แต่การเดินทางทุกครั้งเมื่อมีเธอ มันก็ทำให้อบอุ่น
    เราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าที่เดิมๆ คนเดิมๆ สามารถสร้างความรู้สึกใหม่ๆ ได้เรื่อยๆ
    ความรู้สึก ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ ถูกเก็บซ่อนในสถานที่ เรียกคืนได้เพียงเมื่อมาเยือนมันอีกครั้ง

    ผมพอนึกออกแล้วว่าวลี “การเดินทางขากลับคงจะเหงา” หมายถึงอะไร


    ผมไม่รู้หรอก ตลอดสี่วันสามคืนที่ผมแบกตัวเองไปเปิดโลก ผมจะเจออะไรบ้าง

    แต่หลายสิ่งที่ผมเจอ คงจะอยู่ในความทรงจำ และทำให้ยิ้มออกเมื่อคิดถึงมันทีหลัง

    อันที่จริง ปัจจัยแห่งความสุขอย่างหนึ่งที่ผมอยากให้มันฝังลึกในความทรงจำ กลับเป็นคนพิเศษข้างๆ ที่อยู่ด้วยกัน – เมื่อนั้น ทุกภาพที่มีเธอคงมีความหมาย

    เรากับที่แห่งความทรงจำถูกพรากด้วยระยะทาง และเวลา เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้กลับมนเก็บกลิ่นของความรู้สึก ณ ที่เดิม

    ต่อให้ระยะทางใกล้เพียงเดินครู่หนึ่ง ต่อให้เวลาใกล้เพียงพรุ่งนี้ หากที่แห่งเก่าไม่มีปัจจัยของความสุขเหมือนการมาเยือนครั้งก่อนๆ สิ่งที่ได้จากการเดินทางครั้งนั้น คงเป็นเพียงการรำลึกความทรงจำ ไม่ใช่การสร้างมัน

    เมื่อนั้น การเดินทางขากลับคงจะเหงา

  • คนเป็นพันล้าน

    “เราโชคดีเนอะที่มีเธอ”
    “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก”
    “ไม่ได้ไงอ่ะ คนบนโลกนี้มีตั้งเจ็ดพันล้านคนรู้ป่ะ”

    “เจ็ดล้านคนบนโลกนี้ เป็นคนไทยแค่หกสิบเจ็ดล้านคน”
    “หนึ่งในหกสิบล้านก็ยังเยอะอยู่ดี”

    “ช่วงอายุสิบห้าถึงยี่สิบสองปีที่เจ็ดล้านสามแสนคน”
    “แล้วเจ็ดล้านสามแสนนี่ไม่เยอะ?”

    “เป็นคนภาคกลางประมาณสามสิบเปอร์เซนต์”
    “เหลือสองจุดสองล้านคน”

    “อัตราการรู้หนังสืออยู่ที่เก้าสิบเปอร์เซนต์”
    “หนึ่งจุดเก้าแปดล้านคน”

    “เป็นพุทธเก้าสิบห้าเปอร์เซนต์”
    “หนึ่งจุดแปดหนึ่งล้านคน”

    “ตีเป็นผู้หญิงที่ครึ่งครึ่งไหม?”
    “ไม่ถึงหนึ่งล้านคน”

    “หนึ่งในเจ็ดพันล้าน เหลือแค่เกือบหนึ่งในล้าน ยังโชคดีอยู่หรือเปล่าล่ะ”


    “งั้นเราถามเธอกลับ รักเคยแบ่งเพศไหม”
    “โอเคยอม แต่คนพุทธคิดเป็นหนึ่งจุดแปดล้านคน”

    “รักไม่ขึ้นกับศาสนา”
    “คนรู้หนังสือที่หนึ่งจุดเก้าแปดล้านคน”

    “รักเป็นอารมณ์ ไม่ใช่ความรู้”
    “ไม่เอาอัตราการรู้หนังสือมาคิด คนภาคกลางก็สองจุดสองล้านคน”

    “รักไม่จำกัดท้องถิ่น”
    “ตามช่วงอายุประมาณบวกลบสามปี ก็ยังสองจุดสองล้านคน”

    “ขอโทษนะ ไม่พูดให้เสียเวลาเลยแล้วกัน รักมันไม่เคยจำกัดอะไรหรอก รู้เหรอว่าคนที่เข้ามาในชีวิตเราจะเป็นคนไทยที่อาศัยในกทม. เป็นเพศหญิง นับถือพุทธ และรู้หนังสือ?”

    “…”

    “จะเป็นล้าน หรือเป็นพันล้าน ก็เป็นเราสองคนที่มาเจอกันและรักกัน เหตุผลแค่นี้พอหรือยังที่จะบอกว่าเราโชคดี?”
    “ก็พอแล้วมั้ง”

    “เข้าใจแล้วใช่ป่ะ”
    “ก็เข้าใจแล้วแหละ…”

    “…เพราะมาคิดๆ ดูอีกที เราก็โชคดีเหมือนกัน”

  • ผมชอบท้องฟ้า

    p_20150712_184201
    ภาพที่ขุดเจอเมื่อชาติที่แล้ว

    ผมชอบท้องฟ้า

    ท้องฟ้าที่ผมชอบเป็นพิเศษอาจจะไม่เหมือนท้องฟ้าที่คนอื่นชอบ ในขณะที่หลายคนชอบท้องฟ้าสีน้ำเงิน ผมกลับชอบที่จะเห็นเมฆเทาตัดกับแดดสีส้ม

    เงยหน้ามองท้องฟ้าวันนี้ มันค่อนข้างใกล้เคียงกับท่ีผมชอบ

    ผมคิดถึงคนคนหนึ่งที่ดูมีอิทธิพลกับความคิดผมมากๆ ผมถามตัวเองว่าถ้าอยู่กับเธอ ผมจะชอบท้องฟ้าแบบอื่นมากกว่าไหม

    บ้าเหรอ คนอะไรเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองชอบได้เพียงเพราะมีคนอยู่ใกล้ๆ คนเดียว

    แต่คิดดูอีกที ผมก็เปลี่ยนไปแล้ว – หลายอย่างในตัวผมเปลี่ยนไปเพราะเธอ ผมยิ้มง่ายขึ้น หัวเราะง่ายขึ้น อาจเป็นคนอีกคนที่อยู่ในโลกแบบไม่อมทุกข์

    สุดท้ายทั้งท้องฟ้าและเธอก็เป็นต้นกำเนิดความสุขของผม

    คำตอบของคำถามว่าถ้าอยู่กับเธอ จะชอบท้องฟ้าแบบอื่นมากกว่าไหม คงเป็นคำว่าชอบกว่า

    ไม่ได้ชอบท้องฟ้าแบบอื่นมากกว่านะ แต่ชอบเธอมากกว่า 🙂

    โคตรไม่เชื่อมโยงเลย 55555555555555

  • You say you love rain

    You say you love rain, but you use an umbrella to walk under it.

    You say you love sun, but you seek shelter when it is shining.

    You say you love wind, but when it comes you close your windows.

    So that’s why I’m scared when you say you love me.

    – Bob Marley

    Yes, I love rain, but sometimes it makes me sick.

    Yes, I love sun, but often it does burn me.

    Yes, I love wind, but things gone bad when it become thunderstorms,

    And yes, I love you, but disappointed love torn me in pieces.

  • แค่นี้

    เบื้องหน้าของทั้งคู่คืออุกกาบาตมหึมา ขนาดใหญ่พอที่จะทำให้เกิดวิบัติการณ์ทั้งโลก

    อันที่จริงจะบอกว่าเบื้องหน้าของทั้งคู่ก็อาจไม่ถูก ในเมื่อมันอยู่ในสายตาของคนทั้งโลก

    แต่ในโลกของทั้งคู่ มีเพียงเขากับเธอ

    เขาย้อนวันวาน ตั้งแต่วันที่เขามีเธอ ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป เขากล้าพูด เขากล้ายิ้ม กล้าออกเดินทางทำอะไรใหม่ๆ
    เธอย้อนวันวาน ตั้งแต่วันที่เธอมีเขา เธอรู้สึกว่าเธอได้มีใครสักคนที่ได้ทำอะไรให้ ทุกคำปรึกษาของเธอกลั่นออกมาจากหัวใจ
    เธอเป็นคนที่อยู่ตรงนั้นกับเขา จับมือเขาดึงขึ้นมาในวันที่ล้มเสมอ

    เพียงแค่วันนี้แผลที่เกิดคงไม่ใช่แค่แผลถลอกจากการล้ม

    “เธอต้องรู้สึกเธอทำอะไรไม่ได้อีกแล้วแน่เลย” เขาพูดกับเธอ สายตาจ้องมองวัตถุประหลาดชิ้นนั้น
    ไม่มีเสียงตอบ เธอก้มหน้า กัดฟันกลั้นน้ำตา ทุกครั้งที่เขามีปัญหา เธอรู้สึกอยากเป็นคนนั้นที่อยู่ข้างเขาและช่วยเขาจนผ่านไปได้ด้วยดี

    ความเงียบปกคลุมชั่วขณะ เสียงสะอื้นของเธอค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ

    “เธอ”

    สองแขนของเขาโอบเธอช้าๆ เขาดึงเธอมาใต้อ้อมกอด

    “แค่นี้ก็พอแล้ว ขอบคุณมากนะ”

    เธอกอดเขากลับ น้ำตาทั้งคู่ไหลริน
    เอาเข้าจริงวันนี้ก็สวยงาม

  • ในหลวงรัชกาลที่ 9

    เผยแพร่ครั้งแรก 13 ตุลาคม 2559 ณ เฟซบุ๊คส่วนตัว

    ตอนประถมศึกษา ผมเคยถูกทาบทามจากคุณครูให้แข่งพูดสุนทรพจน์
    ถึงแม้จะเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ประโยคแรกของสุนทรพจน์นั้นยังอยู่ในหัวผมตลอดมา

    “What is being a great leader? That is a simple question, but a big role to play.”

    มองย้อนกลับไปเพียงไร บทบาทของท่านในฐานะพระมหากษัตริย์ก็เป็นบทบาทที่ยิ่งใหญ่มาก

    การดูแลความเป็นอยู่ของพสกนิกรร่วมเจ็ดสิบล้านคนเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ตลอดระยะเวลาที่ท่านอยู่เป็นร่มโพธิ์ของชาวไทยนั้น ทุกคน – ไม่ใช่แค่ชาวไทย – แต่รวมถึงนานาอารยะประเทศ ได้ประจักษ์เห็นแล้วว่าในหลวงของเราทรงเป็นกษัตริย์ที่แข็งแกร่ง และเป็นผู้นำประเทศไทยจนมีวันนี้

    ผมเชื่อว่าแม้สังขารจะล่วงลับ แต่พวกเรา – ประชาชนชาวไทยทุกคน – หรือลูกของพ่อทุกคน จะยังมีภาพของท่านอยู่ในทุกขณะจิต ไม่ว่าจะเป็นในฐานะกษัตริย์ ฐานะผู้นำ หรือผู้ซึ่งเราเดินรอยตามอยู่ในทุกการกระทำ

    ท่านไม่ได้ไปไหนไกลครับ ท่านอยู่ในใจของชาวไทย
    ขอบคุณที่คุ้มครองชาวไทยมาตลอด 70 ปีนะครับ :’)

  • (Bad) Choice

    (1)

    เราทุกคนไม่สามารถหลีกหนีการตัดสินใจในแต่ละวันได้
    การตัดสินใจมีตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างกินอะไรดี ซื้อขนมไหม จนถึงเรื่องใหญ่ในชีวิต

    การตัดสินใจของคนเราอยู่บน constraints ที่แตกต่างกันไป แต่ภายใต้ constraints เหล่านั้น ก็มี factor ที่ทำให้การตัดสินใจแตกต่างกันไปอีก

    (2)

    อารมณ์และเหตุผลคือสองทางเลือกแห่งการตัดสินใจ

    เรื่องบางเรื่องที่เป็นเรื่องของ passion อาจเกิดจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล
    แน่นอน อารมณ์นั้นย่อมแปรเปลี่ยน – ภายในอารมณ์ที่แตกต่างกัน เส้นทางการตัดสินใจด้วยอารมณ์ก็ย่อมแตกต่างกันออกไป

    เหตุผลคือหน่ึงในขั้วตรงข้ามกับอารมณ์
    ภายในเหตุผล เราพบลำดับขั้นตอนการตัดสินใจที่ชัดเจนกว่าอารมณ์ เหตุผลก่อให้เกิดทางเดินสู่การแก้ปัญหาที่ค่อนข้างทำตามได้อย่างแน่ชัด ผลลัพธ์การตัดสินใจตายตัวกว่า

    (3)

    เหตุผลไม่ใช่เหตุผลเสมอไป
    บางครั้งเหตุผลก็เกิดขึ้นหลังอารมณ์และหลังการตัดสินใจ เป็นอารมณ์ที่ drive ให้เกิดการตัดสินใจ ส่วนเหตุผลตามมาทีหลังในฐานะ “ข้ออ้าง”

    (4)

    เรากำลังตัดสินใจอะไรแย่ๆ ด้วยอารมณ์อยู่ไหม?

    หากเราตัดอารมณ์ออกไป การตัดสินใจของเราจะอิงเหตุผลด้วยอัตราส่วนมากขึ้น ถึงจุดนั้นการตัดสินใจของเราก็กำลังจะอยู่ในจุดที่ optimum ใช่ไหม?

    (5)

    แล้วเรารู้ได้ไงว่าการตัดสินใจนั้นแย่?

    การตัดสินใจอะไรบางอย่างทำไมเราต้องหาเหตุผลมารองรับตลอดเวลา หรือเพราะมันฟังดูมีข้ออ้างกว่าการใช้อารมณ์ เราเลยรู้สึกรับมันได้มากกว่า?

    ถึงกระนั้นแล้ว การตัดสินใจตัดสินว่าการตัดสินใจของคนอื่นนั้นแย่หรือไม่แย่ หากนับว่าเป็นการตัดสินใจที่มองเพียงเหตุผล ก็รับว่าเป็นการตัดสิน (ใจ) ที่แย่?

    (6)

    ดูเหมือนจะเป็นข้อเท็จจริงว่าคนเราไม่สามารถหลีกหนีอารมณ์ได้

    หากมองว่าอารมณ์ทำให้ความเป็นเหตุเป็นผลลดลง ก็คงมองได้ว่าเราควรเฉือนมันทิ้งไปเสียหรือเปล่า?

    หากมองว่าอารมณ์ทำให้เราตัดสินใจตามหลักความเป็นจริงของโลก (ที่ไม่ใช่ทุกอย่างเป็นอุดมคติ และไม่ใช่ทุกอย่างที่มีเหตุผล) มันก็ควรเป็นหนึ่งใน factor ที่เรานำมาตัดสินใจ และเผลอๆ อาจจะมากกว่าเหตุผลด้วยซ้ำหรือเปล่า?

    ถึงจุดนี้ การตัดสินใจจะเป็นอะไรที่ยากหรือเปล่า?

    เมื่อเรื่องที่เราตัดสินใจไม่ใช่เรื่องที่ “ง่าย” เหมือนว่ากลางวันนี้จะกินอะไร เราก็มีโอกาสตัดสินใจแย่ๆ

    แล้วเรากำลังตัดสินใจแย่ๆ อยู่หรือเปล่า?

    วนไปย่อหน้าที่ 4 และ 5 อีกรอบ

    ดูเป็นลูปที่ไม่รู้จบ

    มึงต้องการอะไร?


    ปล. ขออภัยในความขุ่นเคืองและ “หัวร้อน” จากการสนทนาเรื่องนี้กับมิตรสหายทุกท่าน