Author: srakrn

  • My last thoughts on contact tracing

    My last thoughts on contact tracing

    ขอเขียนถึงเรื่อง contact tracing ครั้งสุดท้าย ก่อนประสาทจะรับประทานไปมากกว่านี้

    ว่าด้วยมุมมองของคนสายไอที

    • เวลาตัวเองมีค้อนในมือ เราก็คิดว่าเราจะเอาค้อนไปแก้ปัญหาทุกอย่างได้ แต่โลกไม่ได้มีแต่ปัญหาที่เกิดจากตะปู โลกมีปัญหาที่เกิดจากรูสว่าน เดือยไม้ และอีกสารพัด
    • คนทำงานสาย tech อาจจะพยายามเข็น tech solutions ออกมาเพื่อแก้ปัญหาอะไรบางอย่าง–ขอบคุณในความปรารถนาดี แต่ปัญหาบางอย่างไม่ใช่ “ตะปู” ที่ต้องเอา “ค้อน” ไปตอก

    ว่าด้วยความจำเป็นของการทำ contact tracing

    • contact tracing ไม่ใช่พ่อ ถ้าเรา trace contact ได้แต่เราไม่สามารถตอบได้ว่า contact กลุ่มไหนบ้างที่ต้องเอาตัวมาตรวจ ก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้น contact tracing เป็นแค่เฟืองตัวเล็กๆ ที่ต้องใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น
    • contact tracing มีประโยชน์กับ authority ในแง่ของการตามตัวคนมาตรวจ และ contact tracing มีประโยชน์กับคนในการทำให้ตัวเองรู้ความเสี่ยง
    • ในเมื่อสถานการณ์มัน win-win แบบนี้ authority ไม่มีความจำเป็นต้อง “บังคับ” คนลงแอป contact tracing เลยแม้แต่น้อย แค่ (1) บอกคนว่าคุณจะรู้ตัวได้แม่นขึ้นเมื่อคุณ expose ความเสี่ยง และ (2) บอกว่าไม่ต้องกลัวเรา เพราะเราเคารพคุณและข้อมูลของคุณ

    ว่าด้วยความเป็นส่วนตัว

    • contact tracing ถือครองข้อมูลที่มีความอ่อนไหวได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นคำถามว่าอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร
    • ความเป็นส่วนตัวเกิดขึ้นได้จากความเชื่อใจแบบมีเงื่อนไข ถ้าเรามีหลักฐานหรือความเชื่อว่าข้อมูลส่วนตัวที่เก็บไปจะไม่ถูกเอาไปใช้อะไรนอกเหนือจากที่เรายินยอม ก็โอเคระดับหนึ่ง
    • แต่ความเชื่อใจระดับนี้ไม่ได้เกิดกันง่าย และจะบอกให้ทุกคน “เชื่อใจ” ก็คงไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือกระบวนการรับประกันว่าข้อมูลที่ได้จะ “เอาไปใช้อย่างอื่นไม่ได้” นอกจากการตามคนมาตรวจ
    • การเอาปืนมาจี้ หรือการออกเงื่อนไขเพื่อทำให้คนลงแอป contact tracing ไม่ใช่ความเชื่อใจ
    • ความเป็นส่วนตัวไม่ได้เกิดได้จากการปะผุ ไม่สามารถสร้างแอปที่ไร้ความเป็นส่วนตัวมา แล้วใส่โค้ดมหัศจรรย์ พลันเกิดความเป็นส่วนตัวได้
    • ความเป็นส่วนตัวเกิดจากการออกแบบทุกอย่างให้มีความเป็นส่วนตัวแต่ตั้งต้น ใส่ใจความเป็นส่วนตัวมากกว่าอรรถประโยชน์
    • ข้อมูลจากแอป contact tracing ต้องใช้เพื่อ contact tracing เท่านั้น

    ว่าด้วยการบังคับ

    • การบังคับทำ contact tracing เป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด
    • การสร้างมาตรการเชิงบังคับ เช่นการกีดกันบริการ (ไม่ว่าจะเป็นบริการสาธารณสุข หรือแม้แต่ร้านข้าว) หากไม่ยอมติดตั้งระบบ contact tracing เป็นเรื่องเลวร้ายไม่แพ้กัน
    • การแบ่งแยกจากการทำหรือไม่ทำ contact tracing จะไม่ช่วยให้คนทำ contact tracing อย่างดีมากขึ้น มิหนำซ้ำจะเพิ่มข้อมูลผิดๆ ในระบบ หากตัวบุคคลต้องการเข้าถึงบริการแต่ไม่ยอมโดนละเมิดความเป็นส่วนตัว
    • การบังคับทำ contact tracing ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมจะเอื้อให้เกิดการแบ่งแยกคนจากทรัพยากรในการเข้าถึง contact tracing เสียเอง
    • contact tracing ต้องอยู่บนความเต็มใจ ผู้ใช้ยอมติดตามแลกกับการลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อแบบไม่ระบุไม่ได้
    • อย่าอ้างว่ามาตรการ de facto ไม่ใช่มาตรการเพียงเพราะไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร

    new normal

    • อย่าอ้างว่าความเป็นส่วนตัวที่หายไปคือ new normal เราสามารถ mitigate ความเสี่ยงบน normal เดิมของความเป็นส่วนตัวได้อยู่

    จบแค่นี้ละ

  • ถลาต่ำสู่จุดสุดยอด

    ผิวหนังของผมยังคงรอคอยคุณมาสัมผัส ร่างกายของผมพร้อมรับการโอบรัด ปลายนิ้วเย็น ไอน้ำและเสียงครางที่หลุดจากปากผม ลิ้นเปียกชุ่ม ริมฝีปากสั่นเทา

    มองร่างกายผมเป็นผืนผ้าใบบนกระดานกว้าง สัมผัสผืนผ้าขาว ฝากร่องรอยด้วยการขบกัด ทิ้งปื้นแดงเป็นหย่อม เห็นชัดยามส่องกระจก โปรดฝากมันไว้กับผม ความละมุนยามมือไล้ร่างกาย ความเข้มแข็งจากอ้อมกอดอุ่น ความอ่อนนุ่มจากคำหวานชดช้อย ความดุดันยามกลืนกินผม โปรดโอบรัดผมมิให้แม้แต่อนุภาคแสงเดินทางออกไปได้ โปรดปลดปล่อยผมประหนึ่งจักรวาลระเบิดยามแรกสร้าง

    ผมจะฝากมันไว้กับคุณเช่นกัน รอยกอดรัดแน่นยามเกร็งตัว แผลเล็กจากเล็บจิกยามร่างกายตอบสนองต่อความรู้สึก ฝากมันไว้ หลักฐานแห่งการยอม การถูกครอบครอง ถวายตัว ศิโรราบ แล้วแต่คุณจะเรียก

    หลักฐานทนโท่ รอยแดงอาจเลือนลาง แต่เม็ดสีบนฟิล์มโพลารอยด์อยู่ทนกว่าผิวหนัง กระนั้นความทรงจำตราแน่น เก็บสัมผัส กลิ่น อารมณ์ ความกระหายไว้ สื่อชนิดใดมิอาจเทียบ

    ยามผมสัมผัสร่างกายตัวเอง ความรู้สึกจะพลันพุ่ง ไม่มีวันที่นิ้วของผมจะเรียวเล็กและนุ่มเหมือนนิ้วของคุณ ไม่มีริมฝีปากที่เม้มและขบกัดจนเป็นรอย ไม่มีสัมผัสอุ่นแบบนั้นบนร่างกาย ผมจะเวิ้งว้าง รู้สึกเหมือนตัวเองลอยเคว้ง น้ำตาจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สนามโน้มถ่วงออกแรงฉุดรั้ง รสชาติชมปร่า ปราศจากมือปาดลงมิให้ใบหน้าเปียกปอน

    สิ้นเสียงคราง ข้างในร่างกายบีบรัด พิชิตจุดสูง หยาดฝนพรำเหนอะบนผิวหนัง ชีพจรเต้นเร่ง พลันกายปะทะความหนาว ลืมตาเห็นความเปล่าเปลี่ยว ร่วงหล่นลงมา ไม่รับรู้สิ่งใด ความอ้างว้างอ้าแขนรอรับ สัมผัสพื้นเหว แรงกระแทกเต็มความรู้สึก กระเด็นขึ้นไปก่อนร่วงหล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ็บปวดรวดร้าว ข้างในแหลกสลาย ก่อนหยุดนิ่งในที่สุด

    เสียงร้องไห้จากเหวฤๅจะลอยขึ้นสู่ขอบสูงได้ หากมีใครได้ยินคงนึกว่าเป็นเสียงแห่งวิญญาณดุร้าย ปีศาจ ไม่มีใครมองเป็นเสียงร้องความเหงา เหน็บหนาวและเยือกเย็น

  • ผู้ชายที่ร้องไห้ระหว่างมีเซ็กส์

    ผู้ชายที่ร้องไห้ระหว่างมีเซ็กส์

    เธอไม่ชอบผู้ชายที่ร้องไห้ระหว่างมีเซ็กส์เหรอ

    เวลาที่ฉันร้องไห้ระหว่างมีเซ็กส์ ฉันดูดดื่มกับความรู้สึกที่ชวนให้เป็นบ้าตรงหน้า กลับกันฉันกลัวว่าจะมีบางสิ่งพรากมันไปจากฉัน–พรากเธอไป ไม่พรุ่งนี้ก็มะรืน สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า จะตอนไหนก็ไม่ต่างกันหากฉันพรากจากเธอ

    เป็นเวลาที่ความกลัวและความสุขมาปะทะกัน เธอสัมผัสมันได้ใช่ไหม ไม่ว่าจะเสียงครางที่เจือเสียงสะอื้น หรือน้ำตาที่ไหลรวมกับเหงื่อ มันแปลว่าเธอคือความสุข ความกลัว คือคนที่เขาอยากเอ่ยนามด้วยเสียงคราง คือทุกห้วงอารมณ์ของเขา คือคนที่เขายอมศิโรราบตรงหน้า คือคนที่เขาอยากฝากทุกอย่างไว้

    ได้ยินแบบนี้ เธอจะชอบผู้ชายที่ร้องไห้ระหว่างมีเซ็กส์มากขึ้นไหม


    วลี “ผู้ชายที่ร้องไห้ระหว่างมีเซ็กส์” มาจาก “วันหนึ่งความทรงจำจะทำให้คุณแตกสลาย” โดยจิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท

  • ความทรงจำจากร้านหนังสือเชน

    ความทรงจำจากร้านหนังสือเชน

    ตลอดเวลาที่อ่านหนังสือมา สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการที่มันถูกส่งต่อจากคนที่รักหนังสือจริงๆ ไปยังคนแบบเราที่เป็นผู้เสพ (จริงๆ ละอายใจที่จะเรียกตัวเองแบบนี้—เป็นเพียงคนอ่านโง่ๆ)

    ทุกครั้งที่ซื้อหนังสือจากแหล่งท่องถิ่นที่ไม่ได้ถูก operate ด้วยเชนขนาดใหญ่ เราเห็นความตั้งใจ เราส่งต่อคำขอบคุณไปถึงคนที่ทำ คนที่สรรหา เรารู้สึกเหมือนพนักงานร้านหนังสือเป็นภัณฑารักษ์ (curator) คัดสรรหนังสือประหนึ่งเลือกงานศิลปะ

    การมองแบบนี้ทำให้กลิ่นหนังสือยามเลือกซื้อในร้านเชนไม่มีวันหอมเท่าสั่งออนไลน์ผ่านสำนักพิมพ์

    แต่บางครั้งก็อาจจะลืมไปว่าในร้านเชน—เช่นเวลาคุณเดินคิโนะคุนิยะ—ร้านเหล่านั้นก็อาจขับเคลื่อนด้วยคนแบบในสำนักพิมพ์ เต็มไปด้วยความตั้งใจที่เปี่ยมล้นไม่ต่างจากในร้านหนังสือกิจการครอบครัว หรือคนในสำนักพิมพ์

    จริงๆ ก็ต้องขอบคุณร้านเชนที่ทำให้หลายคนเข้าถึงร้านหนังสือได้ผ่านพลังแห่งการโหมโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ครั้งหน้าที่เข้าร้านเชน กลิ่นของร้านก็คงหอมขึ้น ปลายนาสิกถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นกระดาษ กลิ่นความทรงจำลอยขึ้นมา เป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของคนที่ครั้งหนึ่งพาเรากลับมาอ่านหนังสืออีกรอบ

    และจุดเริ่มต้นของมันเกิดจากร้านเชน

  • AI ที่อธิบายได้: หลักการ เหตุผล และความจำเป็น

    รวมบทความในชุดดังกล่าวที่เผยแพร่ครั้งแรกบนเฟซบุ๊กของศิระกร ลำใย, บทความขณะนี้ยังเขียนไม่ครบทุกตอน

    (more…)
  • Attitude Q&A 2

    Image

    ตลาดล่าง

    ตอบแบบไม่กวนเหมือนรอบที่แล้วละ

    ส่วนหนึ่งมองว่าหากอยากจะเข้าใจตลาดล่าง ต้องเริ่มจากการพยายามทำความเข้าใจพฤติกรรมและขั้นตอนวิธีในการ “เหยียด” ของ elite หรือ upper-middle class ที่มองลงมายัง middle class ทั่วไปก่อน

    ถ้า middle class ไม่ได้ naive ขนาดนั้นสักเท่าไหร่ก็คงพอรู้ว่าการเหยียดแบบนี้มีจริง และเราคิดว่า middle class บางกลุ่มแสดงออกผ่านการรีเฟลกซ์กลับไปที่ชนชั้นที่ต่ำกว่าตามลำดับ

    ยกตัวอย่างเคสนึงที่น่าจะเห็นได้ชัดคือจัดฟันเถื่อน–กรณีนี้น่าสนใจ บริบทของการรักษาสุขภาพช่องปากที่ผิดปกติกลับไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมเทียบกับการแพทย์ชนิดอื่นๆ ทำให้เส้นแบ่งของคนที่จัดฟัน–ในฐานะคนที่จ่ายไหว และคนที่จ่ายไม่ไหวนั้นชัดเจนมาก

    ชนชั้นกลางกระเสือกกระสนถีบตัวเองผ่านการศึกษา ของแบรนด์เนม การช็อปปิ้ง (ซึ่งนี่ก็คือ norm ที่ชนชั้นกลางสร้างจากภาพมองของชนชั้นสูงที่ตัวเองจะตะกายไปถึง) เช่นไร ชนชั้นล่างก็กระเสือกกระสนกับการถีบตัวเองแบบนี้เหมือนกัน (ผ่าน norm ที่ชนชั้นล่างสร้างจากภาพของชนชั้นกลาง)

    ลองวันนึงคุณไปทำอะไรที่กระทบกับโรงพยาบาลเอกชน คลับกีฬา หรืออะไรสักอย่างที่เป็นพูลของชนชั้นสูง วันนึงคุณก็โดนเหยียดเหมือนกับที่คุณเหยียดเด็กแว๊นที่รบกวนระบบเดินทางของคุณ จัดฟันเถื่อนที่รบกวนระบบประกันสุขภาพของคุณ หรืออะไรทำนองนั้นแหละ (แต่ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันถูกนะ)

    Toxic femininity

    เป็นเรื่องที่สนใจแต่ไม่ถนัดที่สุด

    ไม่มีความเห็นแล้วกัน แต่ทิ้งคำถามไว้ให้คิด–ถ้าผู้หญิงหันมาเบลมกันเองว่าเธออ้วนแล้วนะ ใครเป็นฝ่าย toxic? ถ้ามองว่าผู้หญิง แล้วปฏิเสธได้ไหมว่าการที่ผู้ชาย stereotype ผู้หญิงว่าต้องสวยและหุ่นบางทำให้เกิดความ toxic แบบนั้น? แล้วถ้ามันเป็น norms ที่เกิดจากการที่ผู้หญิงมองว่าผู้ชายมองว่าผู้หญิงต้องเป็นแบบนี้ ความ toxic นั้นก็เกิดจากผู้หญิงเองใช่หรือไม่?

    ผีน้อย

    ขอไม่เรียกว่าผีน้อย ขอเรียกว่าแรงงานผิดกฎหมายในต่างประเทศ

    แรงงานผิดกฎหมายในต่างประเทศคือคนที่ไม่เล่นตามกติกา–การโกงเกมของเขาทำให้เกิดผลกระทบกับคนที่เล่นตามกติกา ทั้งไกด์ทัวร์ นักท่องเที่ยว แรงงานถูกกฎหมายคนอื่น

    แต่ต้องไม่ลืมมองความจริงว่าครั้งหนึ่งเขาคงเคยพยายามเล่นตามกติกาแล้วเหมือนกัน–น่าสนใจว่าเพราะเหตุใดการเล่นตามกติกาของเขาถึงไม่เวิร์ก มันอาจจะเป็นความโลภหรือปากท้องของครอบครัวที่ไม่มีข้าวตกถึงกระเพาะก็ได้ ไม่มีใครรู้นอกจากพวกเขา

    ในการบ่นว่า (condemn) พวกเขา เราใส่ความเห็นใจ (empathy) เข้าไปได้

    โทษประหาร

    ไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ เพราะไม่มีความรู้มากพอให้มีความเห็น

    สาววาย

    สเปกตรัมสาววายกว้างมากตั้งแต่ LGBTQI+ supporter จนถึงระรานให้คนสองคนที่มีชีวิตจริงได้กันจริงๆ สักที

    เส้นแบ่งที่โอเคจากมุมมองของตัวเอง คือเคารพและไม่ก้าวก่ายบุคคลที่มีตัวตนจริง อย่างไรก็ตามคำว่าก้าวก่ายนี่ก็พูดยาก คือการพูดชื่อลอยๆ สองชื่อแล้วอ้างว่าเป็นชื่อทั่วไปที่เพียงไปบังเอิญซ้ำก็ย่อมทำได้

    แต่เอาเป็นว่าหลักการเบื้องต้นคือการ “จิ้น” กันของสาววายไม่ควรไป offend คนโดนจิ้น

    วัฒนธรรมติ่งเกาหลี

    เปลี่ยนคำว่าติ่งเกาหลีเป็นแฟนคลับศิลปินเกาหลี แล้วลองเปลี่ยนชื่อประเทศดูเรื่อยๆ ถ้าความเห็นมันเปลี่ยนก็แปลว่ามี negative attitude ต่อกลุ่มนึงแค่นั้นละ

    ราคาผ้าอนามัย

    ควรถูก subsidise อย่างหนักโดยรัฐ หรือแจกฟรี (รวมถึงผ้าอนามัยแบบอื่น เช่นแบบสอด หรือถ้วย)

    Gay marriage

    มันน่าตลกที่ถ้า non-straight จะแต่งงานกันแล้วต้องมาขอ straight ให้ผ่านกฎหมายก่อน

    โอตะ

    เปลี่ยนคำว่าโอตะเป็นแฟนคลับศิลปินญี่ปุ่น แล้วลองเปลี่ยนชื่อประเทศดูเรื่อยๆ ถ้าความเห็นมันเปลี่ยนก็แปลว่ามี negative attitude ต่อกลุ่มนึงแค่นั้นละ

    ไม่ใช่หรอก–คือเวลา condemn ติ่งเกาหลีมันดูไม่มีอะไร กลวงๆ แต่พอมา condemn โอตะแล้วมันมีประเด็นพวกความเป็นไอดอลด้วย

    ส่วนตัวรู้สึกว่าไอดอลแบบญี่ปุ่นนี่ dehumanise ตัวไอดอลเองเยอะมากๆ ก็ต้องดูด้วยแหละว่าตัวโอตะมีทัศนะคติยังไงต่อระบบแบบนี้ คำตอบของเราคือเลิกตาม BNK48 แบบเสียเงินไปนานแล้ว

    อยู่ก่อนแต่ง

    เราอยู่ก่อนแต่งแน่นอน คือมันมีรายละเอียดชีวิตเล็กๆ น้อยๆ (ตื่นมาพับผ้าไหม เก็บของเป็นไง) ที่อยากดูด้วยกันก่อนอยู่กันจริงๆ

    จริงๆ มันไม่ควรเป็นปัญหานะ เซ็กส์ที่ทุกฝ่ายสมยอม (รวมถึงคนที่ผูกพันในสถานะที่ commit ให้เซ็กส์ถูกผูกขาดโดยฝ่ายถือความสัมพันธ์คนเดียว) คือเซ็กส์ที่โอเค

    การรับราชการ

    เหมือนการทำงานในบริษัทขนาดใหญ่ที่เทอะทะและไม่มีความท้าทาย

    รักไม่มีเพศ

    เสียงที่กระซิบใกล้หูในวันนั้นเคยบอกว่าไม่เชื่อในการแปะป้ายคนทั้งโลกเป็น 16 แบบ–เธอกำลังหมายถึง MBTI

    เราก็ไม่เชื่อในการแปะป้ายคนว่าเป็นชาย หญิง เกย์ เลสเบี้ยน หรืออะไรประมาณนี้เหมือนกัน

    เราเป็นเพศศิระกร

    รัฐสวัสดิการ

    รัฐที่อยากเห็นคนทำอะไรก็ควรจะมีตาข่ายมารับเวลาใครสักคนล้ม มีข้าวให้กิน มีที่ให้ซุกหัวนอน เพื่อจะได้เก็บออมพลังไว้เติมตัวเองและทำอะไรต่อไปแบบที่รัฐอยากเห็นคนทำอะแหละ

    แอคเห็บ

    ไม่มีความคิดเห็น ไม่เคยเจอ

    นักฉอด

    ถ้าฉอดด้วยเหตุผล หลักฐาน และตรรกะ เราแฮปปี้และอยากเจอนะ

    Toxic Masculinity

    Toxic masculinity นี่พูดง่ายกว่า femininity นะ

    เราไม่ชอบคำว่าเป็นลูกผู้ชายไม่ร้องเลย เรามีโครโมโซม XY แล้วเราร้องไห้ไม่ได้เหรอ

    คบคนที่หน้าตา

    มันก็คือนิยามของคำว่าสวยอะ และแน่นอนว่า beauty is in the eye of the holder

    นี่เลือกคบคนจากชั้นหนังสือ คนที่เคยคุยด้วยแล้วชอบแบบจริงจังนี่คือเห็นชั้นหนังสือก่อนเห็นหน้า–แค่คุณก็จะรู้สึกว่ามันรับได้กว่าไง เพราะมันดูเหมือนไม่ฉาบฉวย แต่จริงๆ ใครก็สามารถสร้างชั้นหนังสือที่ตัวเองไม่สนใจจะอ่านได้

    สิ่งที่ตัวเองทำตอนนี้นี่ฉาบฉวยกว่าคบคนที่หน้าตาอีก

    ละครและนิยายตบจูบ

    เราไม่ควรต้องมานั่งคุยเรื่องพวกนี้ในปี 2020 นะ

    ละครสะท้อนสังคม สังคมสะท้อนละคร แล้วก็เป็นการอ้างเหตุผลไปมากันเรื่อยๆ คือต้องมีคน break ลูปนี้แหละ

    ทุนนิยม

    เวลาเดินไปตลาดแล้วเจอแผงขายผักสามสี่แผงแล้วก็จะขอบคุณตัวเองที่มีทางเลือก ทุนนิยมในแง่ของการแข่งขันที่ไม่ผูกขาดกับตลาดนี่จริงๆ สำคัญไม่ใช่น้อย

    เราเป็น economically left เราเชื่อใน free trade ระดับนึง (ก็จนถึงจุดที่เชื่อว่าทุนนิยมที่ดีต้องมีกลไกข้างหลัง ทั้ง anti-trust, การแข่งขันที่เป็นธรรม, safety net ให้คนล้มเหลวจากระบบ) และเชื่อในมันมากกว่าแนวคิดทาง communism นะ

    คู่จิ้น

    จิ้นใครจิ้นไป อย่าไปทำให้เขาไม่สบายใจหรือเดือดร้อนก็พอ

    นิยายวาย

    เขียนอยู่ จริงๆ คือตั้งใจเขียนให้เป็นนิยายที่ไม่ได้มีแต่ straight ด้วยเหตุผลที่อยากเห็นวัฒนธรรม non-straight กลุ่มอื่นดังขึ้นมาบ้าง

    แฟนมาก่อนเพื่อน

    ไม่มีปัญหา ที่จริงก็คือความสามารถการแบ่งบริบทและเวลา รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญ แต่ถ้าผิดมารยาท (เบี้ยวนัด ไม่ตรงเวลา กระทบการงาน ฯลฯ) อันนี้เชิญพิจารณาตัวเอง

    ของแบรนด์เนม

    ใช้แล้วมีความสุขกับไม่เดือดร้อนเรื่องเงินก็ใช้ไปเถอะ *ทำหน้าคนไม่เคยซื้อแบรนด์เนมราคาเต็ม*

    หัวหน้าครอบครัว

    ไม่เชื่อในความจำเป็น อยากเลี้ยงลูกแบบพ่อไม่ใช่หัวหน้าครอบครัว แม่ไม่ใช่หัวหน้าครอบครัว เราคือสมาชิกและเราทุกคนได้รับการทรีตเท่ากัน

    เสื้อซับในของนักเรียนหญิง

    เราเป็นผู้ชายที่เคยใส่เสื้อกล้ามตลอดเพราะไม่อยากให้ใครเห็นในเสื้อขาว

    ความตั้งใจในการใส่มาจากความรู้สึกของเราเองที่ไม่ได้ถูกกดดันจากสังคมข้างนอก และการไม่อยากให้ใครเห็นข้างในของเราก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรอบสังคมว่าแบบนี้มันโป๊นะหรืออะไรแบบนั้น

    การใส่เสื้อของผู้หญิงก็ควรเป็นแบบนี้–ไม่มีคนกดดัน ไม่เป็นไปตามกรอบสังคม

    สังคมเฟซบุ๊ก

    เฟซบุ๊กกลายเป็นที่ตามข่าวกับเขียนอะไรมีสาระไปแล้ว ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์อะไรกับใครเป็นพิเศษ จะเรียกว่ามีสังคมในนั้นก็คงเรียกได้ไม่เต็มปาก

    มหาวิทยาลัยเอกชนและรัฐบาล

    สมัยปัดทินเดอร์เราปัดเฉพาะคนที่เรียนมหาวิทยาลัยรัฐบาล

    เหตุผลไม่ใช่เรื่องคุณภาพการศึกษา แต่เหตุผลคือภาพจำ (perception) ของเราก็ยังคงมองว่ามหาวิทยาลัยเอกชนมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าในการเข้าเรียน และเราไม่อยากเป็นฝ่ายที่ socio-economics status ต่ำกว่ามากในเรื่องความสัมพันธ์

    เรื่องการศึกษาแน่นอนว่าไม่มีความคิดเห็น ไปดูอันดับมหาวิทยาลัยโลกว่าบ้านเราที่อันดับต้นๆ อยู่ที่เท่าไหร่ของโลก แล้วจะเข้าใจเอง

    การทำแท้ง

    ควรเสรีทุกกรณี–ทำแท้งนะไม่ใช่กินขนม มันไม่มีใครอยากเจ็บตัวหรอก

    ล้อสำเนียง

    ไม่มีความคิดเห็น

    สลิ่ม

    ไม่รู้จะอธิบายความคิดเห็นยังไง–อาจจะปลงไปแล้ว ซึ่งจริงๆ ไม่ควร

    แต่เราเชื่อใน intention ที่ดีของทุกคน คนที่เป็นสลิ่ม (ซึ่งตามนิยามของเราคือเป็น ignorant) อาจจะแค่ยังไม่เห็นอะไรบางอย่าง ก็ค่อยๆ ชี้กันไป

  • Attitude Q&A

    คิดยังไงกับคนสูบบุหรี่

    ถ้าหนีไปสูบเงียบๆ ก็เหมือนคนชอบกินของมันๆ ก็ไม่ใช่เรื่องต้องใส่ใจ, ถ้าสูบแบบพ่นอัดหน้าก็ไม่เอาด้วย ปกติเพื่อนกินของมันไม่เคยมีใครจับมันหมูกรอกปาก

    เคยถูกบูลลี่ไหม และเพราะอะไร

    เคย เพราะอะไรคงไม่อาจทราบได้

    เคยบูลลี่ไหม และเพราะอะไร

    เคย จริงๆ การบูลลี่ก็ทำให้ตัวเองถูกยอมรับทางสังคมได้ระดับนึงแหละ (เจี๊ยบตัดยางเราทำไม)

    ถ้าศัลยกรรมได้หนึ่งอย่าง

    ขากรรไกร ให้ฟันสบกัน จะได้เคี้ยวข้าวได้

    คาดหวังอะไรจากสถานะแฟน

    FWB + sole and more commitment

    ฟังดูงงๆ แต่อาจจะเคยได้ยินว่าอยู่กับคู่ไปนานๆ แล้วจะเหมือนมีเพื่อนคู่คิด ทุกวันนี้ก็รู้สึกว่าเพื่อนรอบตัวเป็นคู่คิดที่ดีมากๆ ก็เลยคิดว่าถ้าใส่พาร์ทเซ็กส์เข้าไปก็ได้ FWB กับเหมือนแฟนไปส่วนนึงแล้ว

    แต่ประเด็นคือการมีแฟนมันคือการโหยหาการ “หยุด” สำหรับเรานะ มันไม่อยากไปหาคนไหนต่อ มันอยากจบการเดินทางไว้ตรงนี้ ก็เลยคาดหวังว่าสำหรับ commitment ระดับแบบนี้เนี่ย เราจะมีให้เค้าคนเดียว and vice versa

    จริงๆ แล้วอยากเรียนอะไร

    วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ รองลงมาคือดุริยางค์ (ไปทางด้านวาทยากร)

    วางแผนอนาคตตัวเองยังไง

    ตื่นมาแล้วยังมีเรื่องให้ยิ้มได้

    อะไรที่ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้

    จริงๆ ถึงแม้จะกินยาด้านเศร้าอยู่ แต่รู้สึกว่าตอนได้ยื่น positive vibes ให้ใครก็ตาม ใจมันมีความสุขมากๆ ถึงจะกลับมามีเรื่องเศร้าในไม่นานก็ตามเหอะ

    อธิบายคำว่ารักตัวเอง

    อะไรสักอย่างสำหรับอ้างว่าทำแล้ว จะได้ไปรักคนอื่นได้สักที

    อยากขอโทษอะไรตัวเองบ้าง

    ไม่มี แต่อยากบอกตัวเองว่าให้อภัยตัวเองสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา

    ถ้าชีวิตนี้อยู่ได้อีกแค่ 24 ชั่วโมง

    ทำอาหารกินเองสักมื้อสุดท้าย

    นิยามความสุข

    สิ่งที่ตัวเองจะไม่เคยรู้สึกว่ามีอย่างแท้จริง

    ไม่ใช่ทุกวันนี้ไม่มีความสุขนะ–มีบ้านอยู่ มีแอร์ให้เปิด มีเตียงให้นอน มีเน็ต มีเงินในบัญชี แค่นี้มันก็สุขแล้ว แต่ทันทีทันใดที่อยู่จนมันกลายเป็นปกติ ก็จะรู้สึกโหยหาอย่างอื่นไปเรื่อยๆ แค่นั้นแหละ

    นิยามความเศร้า

    การเปลี่ยนแปลง

    คิดยังไงกับการนอกใจ

    การมีแฟนนี่มันเลือกหยิบคนที่ดีกว่าทุกครั้งที่เจอไม่ได้หรอก สุดท้ายมันก็เหมือนกับการที่เราประมาณว่าเราจะได้คนที่ดีที่สุดแค่ไหน แล้วหยิบคนที่เราคิดว่าดีพอภายใต้ระดับของคนที่ดีที่สุด

    ถ้าไม่มั่นใจในการประมาณของตัวเองก็อย่าตอบเป็นแฟนเลยดีกว่า

    คิดยังไงกับการนอกกาย

    ถ้า consent กันทุก party ก็โอเค (แต่มันก็ไม่เรียกนอกกายปะถ้างั้น?)

    แต่ส่วนตัวคือไม่ consent นะ อาจจะดูไม่ใช่คนหวงตัว แต่จริงๆ หวงมากๆ ไม่ชอบให้ใครมาแตะหรืออะไรถ้าไม่ใช่คนที่ไว้ใจจริงๆ แค่ระดับความปล่อยเนื้อปล่อยตัวหลังจากปล่อยให้เข้ามาในกำแพงของเรามันเพิ่มเร็วกว่าคนอื่นละกัน พอเป็นแบบนี้ก็เลยรู้สึกว่าความอบอุ่นและความพิเศษมันถ่ายทอดออกมาผ่านการสัมผัสได้ด้วย (แล้วก็จะหวง)

    ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วสลับเพศ

    ฉลอง!

    เรื่องที่อยากทำแต่ทำไม่ได้

    เลิกแคะจมูก

    นิยามคำว่ามู้บอร

    นึกถึงเค้าแล้วน้ำตาไม่ได้มีรสชาติขมปร่า

    คิดยังไงกับคนที่เกลียดเรา

    ถ้าเราเคยทำอะไรให้ก็อยากให้ลองมาเล่านะ อาจจะเกลียดเราไปแล้ว แต่ถ้าไม่ใจร้ายกับเรา เราอยากเข้าใจในความผิดของตัวเอง

    คำว่าตลาดล่างคืออะไร

    This

    เสน่ห์ของตัวเองคืออะไร

    สิ่งที่ตัวเองไม่มีวันมองเห็น แต่มีแหละ

    สิ่งที่อยากทำก่อนตาย

    ไล่ขอบคุณทุกคนในชีวิต

    คิดยังไงกับคนเที่ยวกลางคืน

    เก่งจัง กูง่วง

    พรหมจรรย์สำคัญไหม

    ความสำคัญของพรหมจรรย์:

    ถ้ามีชีวิตอยู่ได้อีกปีนึงจะทำยังไง

    นอนก่อน พรุ่งนี้ค่อยคิดว่าถ้ามีชีวิตอยู่ได้อีกเกือบปีจะทำยังไง

    เปรียบตัวเองเป็นอาหารเมนูอะไร

    ข้าวผัด–ทำง่าย ทำให้ดียาก ทำแบบไหนก็มีคนชอบและไม่ชอบ

    Introvert/Extrovert/Ambivert

    แล้วแต่บริบท อยู่กับเพื่อนนี่อยู่ยังไงก็ได้พลัง อยู่กับคนไม่สนิทนี่อยู่ยังไงก็เหมือนใช้พลัง

    การจากลาแบบไหนเจ็บปวดที่สุด

    หายจากไปโดยไม่ได้บอกลา เหมือนตื่นจากฝันดี

    อยู่ก่อนแต่งหรือแต่งก่อนอยู่

    อยู่ก่อนแต่ง

    สลับร่างกับเพื่อนได้อยากสลับกับใคร

    นั่งคิดว่าใครจะมาอยากอยู่ในร่างศิระกรแล้วก็นึกไม่ค่อยออก

    คิดยังไงกับ One night stand

    เซ็กส์ที่สมยอมทุกฝ่ายคือเซ็กส์ที่โอเค

    คิดยังไงกับ Friend w/ benefits

    เซ็กส์ที่สมยอมทุกฝ่ายคือเซ็กส์ที่โอเค

    จดหรือไม่จดทะเบียนสมรส

    ยังไม่เคยอ่านสิทธิทางภาษีมันเลย

    คนที่จะแต่งงานด้วย

    ไม่มีสเปคอะ เจอแล้วใช่ก็คือจบ

    อยากให้ลูกเป็นไง

    ไม่อยากมี

    เชื่อในรักแท้ไหม

    เชื่อในการพร้อม commit กับใครสักคนไปตลอดชีวิต น่าจะเรียกว่ารักแท้ได้มั้ง

    คิดยังไงกับผู้หญิงขายบริการ

    คิดว่าทำไมคนถามไม่ถามถึงผู้ชายขายบริการในบริบทเดียวกัน

    รักแท้เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ได้ไหม

    ได้ข่าวว่าคนแถวนี้เคยชอบคนที่เห็นรูปชั้นหนังสือกับคุยกันเรื่องสังคมก่อนเห็นหน้าตา แถมป่านนี้ยังมูฟออนไม่ค่อยจะได้

    คนที่เราจะแต่งงานด้วยต้องซิงไหม

    ถ้าอีกฝ่ายคิดว่าคนที่แต่งงานด้วยต้องซิง ก็แต่งกับเราไม่ได้แล้วแหละ

  • มาแต่งเพลงประจำเกาะให้ Animals Crossing กันเถอะ!

    พี่เนยสดผู้ติด Animals Crossing งอมแงม ทักมาถามว่ามีเพลงอะไรที่เพราะๆ ภายใน quarter note 16 ตัวบ้าง นอกจาก Ah vous dirai-je, Maman (Twinkle, Twinkle, Little Star) กับ Beethoven’s Symphony No.9 “Choral” (Ode to Joy)

    ปรากฎว่าที่มาของคำถามคือ ในเกม Animals Crossing–ที่ตอนนี้น่าจะติดงอมแงมทั้งบ้านทั้งเมือง–มันใส่เพลงประจำเกาะของเราได้ 16 ตัวโน้ตดำ! เงื่อนไขเพิ่มเติมคือช่วงโน้ตที่ใส่ได้มี G3 ถึง E5 ไม่มีครึ่งเสียง

    ความเทพของชุมชน Animals Crossing คือมีเว็บแต่งเพลงให้เสร็จสรรพด้วย นี่ Tom Nook จ้างแกทำกี่บาท!

    Plot twist: Tom Nook จ้างแล้วไม่จ่าย หักจากค่ามือถือ

    มา ได้เวลามานั่งขุดเพลงว่าเป็นอะไรได้บ้าง

    คลาสสิก

    นึกไม่ออกเลยว่าเพลงคลาสสิกที่สามารถย่อยให้อยู่ใน 16 ตัวโน้ตได้บ้าง

    อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเพลงโปรดขึ้นมา–Tarantella in D Minor–ท่อน cello น่าจะเอามาใส่ได้ไม่ยาก

    http://nooknet.net/tunes?melody=a-a-d-d-f-f-d-d-a-a-d-d-f-d-e-s&title=Tarantella%20in%20D%20Minor

    กับอีกเพลงนึงคือ Eine kleine Nachtmusik (ที่ไม่เคยพิมพ์ชื่อถูกในทีเดียวเลย) เสียดายที่ได้แค่ท่อนเดียว

    http://nooknet.net/tunes?melody=G-s-z-d-G-s-z-d-G-d-G-B-D-s-s-z&title=Eine%20kleine%20Nachtmusik

    Canon in C ก็ดูไม่เลว แต่มีไม่กี่ท่อนเท่านั้นที่ตัดออกมาแล้วไม่ขาด คิดว่าท่อน pre-hook น่าจะใช้ได้อยู่

    http://nooknet.net/tunes?melody=a-g-A-B-C-B-A-G-f-e-d-A-G-A-B-z&title=Canon%20in%20C

    เพลงไทย

    จะลืมคนที่น่ารักที่สุดในโลกได้ไง!

    http://nooknet.net/tunes?melody=e-d-e-s-G-s-c-s-G-e-c-G-s-e-c-s&title=YOU%20YOU%20YOU

    อาจจะฟังไม่ออกว่าเป็นท่อนทำนองของเพลง BNK Festival ก่อนเข้าท่อน “เอ้ามาสิ” แต่เราชอบดนตรีข้างหลัง มันง่าย และดูเป็นเพลงที่ฟังแล้วเหมือนยังไม่จบดี

    http://nooknet.net/tunes?melody=c-c-c-b-s-a-s-g-s-s-g-s-a-s-b-s&title=BNK%20Festival

    นึกไม่ค่อยออกเลยจริงๆ ว่าเพลงไทยอะไรบ้างถึงจะดี

    แต่เดี๋ยวนะ–นี่คือเกาะของเรานี่–แล้วเพลงอะไรที่เราได้ยินแล้วถึงชาติไทยบ้าง

    เพลงเอกลักษณ์

    ตื่นเถิดชาวไทยน่าจะเป็นเพลงแรกๆ ที่เรารู้สึกว่านี่คือเพลงเพื่อปลุกให้คนมาทำอะไรได้แล้ว–รู้สึกเข้ากับธีมเกมมาก ก็เลยขอใส่ไว้หน่อย

    http://nooknet.net/tunes?melody=e-g-e-c-G-G-g-c-d-e-G-g-G-G-c-s&title=Wake+up+Thais

    ค้างคาวกินกล้วยก็น่าสน ท่อนที่มีเขบ็ดเยอะๆ (ในลิงก์คือที่ 0:31) ถูกจับมาโละทิ้งให้เหลือแต่โน้ตตัวดำ กลมกล่อมเหมือนกัน

    http://nooknet.net/tunes?melody=A-A-C-A-e-G-e-A-e-G-e-G-C-A-s-s&title=Bats+and+Banana

    พม่าประเทศ–เพลงที่เปิดรอเคารพธงชาติ–เอาท่อนเปิด (0:07) มากร่อนแล้วก็ได้อยู่เหมือนกั

    http://nooknet.net/tunes?melody=c-g-e-z-c-g-e-z-g-g-g-g-c-s-s-z&title=Burmese%20Country

    เสร็จแล้วก็นึกอะไรไม่ออกละ แต่งไปแต่งมาก็สนุกเหมือนกัน ไว้รอซื้อเกมมาเล่นน่าจะสนุกกว่านี้แบบหมดเงิน


    Update: มิตรสหายท่านหนึ่งแชร์วิดีโอนี้มา

    เสร็จแล้วมีมิตรสหายอีกท่านเอาไปโยงว่า Isabelle? Belle? Bella?

    http://nooknet.net/tunes?melody=d-e-f-s-e-d-f-s-e-d-A-s-A-s-A-s&title=Bella%20Ciao

    Bella Ciao, Ciao, Ciao!

  • ความคิดถึง

    ความคิดถึงน่ะ แสดงออกไปแล้วมันดึงกลับคืนมาไม่ได้นะ

    มิตรสหายท่านหนึ่ง
  • 2019: And this too shall pass

    Seriously, this is a very hard year to recap. My blog posts about 2017 and 2018 were written in a really smooth way with all the breezes, I really find no difficulties writing them.

    It’s different this year, to be honest. A very hard year to recap, also a very hard year that I’ve faced. I was hesitating whether I should write this blog post or not because it’s going to be extremely personal comparing to the last years’, and also I don’t want to be too emotional on my birthday’s eve.

    Life

    It’s pretty awesome, it’s pretty awful.

    You understand happiness the best on the day when the sunlight shades on you, after you’ve strive to climb over and pass all the obstacles you’ve seen.

    Mary

    Yeah, we have ups and downs. But sticking to that “down” time, imagining that you would never get over it, is such a terrible feeling.

    Seeing which part of being a good human we’ve lacked is essential in order to be a part of the “social community”. Yet I know I adhered to it so, so, much. I just can’t stop seeing myself as an imperfect guy, failing to behave like what every human being should do.

    I always have a goal of changing the lives of people whom I’ve touched. It’s the goal that I felt like I’ve never achieved, perhaps.

    ขอบคุณมากครับพี่แทน ถ้าไม่มีพี่แทนผมคงมาไม่ถึงจุดนี้ครับ ขอบคุณจริงๆ ครับ

    Sanurak

    But it’s not that bad maybe? I just learned with confidence that I can change people’s perspectives. Those feelings are wonderful, and hey, I felt like I’m a little more worthwhile!

    Still, I think I can do more. There are still so many things I wanted to do, so many lives I wished to touch, so many commitments I wanted to achieve.

    Perhaps let’s try them in the upcoming decade?

    Love

    I love myself less.

    มึงมีค่าพอให้คนอื่นมารักเว้ย

    Rawissara

    Seriously, I don’t even think I love myself. There are aspects of me that I’m so proud of. I’m proud of having so-called feminine feelings. I’m proud of some of my achievements. There are things that can make me smile, and I’m glad that at least I appreciated that.

    Change from talking about appreciation to love and the answers are totally flipped, however. I never think of myself as someone who deserved love. Even loving myself.

    I always know that love is such a worthwhile feeling. I think I know how to love someone, even I’m not certain I’m good at loving someone or not. People keep saying that ones can’t love others if they don’t love themselves. If that’s true then maybe I don’t really know how to love someone.

    But you know what? Despite having thoughts that I never deserved love, I always feel others’ people love around me. I feel being loved by people who I cared so much. I was fulfilled to the level that I felt bad for believing that I can’t fulfil them like what they’ve done to me. I hurt their feelings, I offended them, I made them care about me too much and care about themselves less.


    To everyone whom I love, and to everyone who loved me

    Your kind words, touches, understandings, and empathy to me is very worthwhile. I can’t be grateful enough for your positive vibes.

    I’m sorry. I know I’m a troublemaker. And of course, I know you’ll hate me for saying something like this. I just really wanted to be sincere with you about how I really felt about myself, and I hope you understand that.

    I’m sure that those are things you don’t want to hear me saying about how negative I am, so I will promise this: I’ll learn how to love better. I’ll love you more, and certainly, I’ll learn to love myself more. It takes time, to be honest, but I’ll devote myself to it.

    Actually, I think I’m one more step into understanding what love is. After a long decision, I just decided to receive treatments with a psychiatrist because I wanted to be better at loving myself, so I could love you better and be less troublesome. This wouldn’t be impossible without all of you giving me care and love thus making me believe I’m worthwhile in some way. So, thank you for being a giant leap in changing myself–it might sound like you’ve done nothing perhaps, but without you, I would be standing at the same valley of depression.

    และอย่าลืมว่าตอนนี้เพื่อนก็เป็นคนที่วิเศษอยู่แล้วเหมือนกันค่ะ !

    Kittiya

    My friend once told me that I’m a wonderful person. Despite not totally believing this, I just wanted to tell you that I’m trying my best to be better.

    I really appreciated what you all have done for me. For me, it can’t be more worthwhile.


    Expectations

    ขออภัยที่ทำให้อาจจะรู้สึกว่าคาดหวัง แต่สำหรับคุณคนที่มีระดับการคาดหวังด้วยตนเองสูงอยู่แล้ว ผมคงบอกว่าโดยส่วนตัวไม่เคยกังวลหรือคาดหวัง และผมคิดว่าไม่จำเป็นมากที่จะต้องพึ่งพาความคาดหวัง แต่คิดว่าน่าจะเน้นที่การ support น่าจะเหมาะกว่า

    Ajarn Jittat, https://twitter.com/jittat/status/1191914645952446464

    I don’t know if I set my expectations too high or not. It appears as I’ve failed at so, so, many things.

    I seriously have no idea what other people are expecting at me. Sometimes I felt like I’ve satisfied their expectations, but most of the time I felt like I’m some kind of failure. To be honest, I don’t think it’s Imposter syndrome–there is still a lot for me to explore, and I’m only a small guy in this world.

    เพราะคนอื่นที่นี่คิดว่าหนูทำงานได้ดีและได้ตามความคาดหมาย

    P’ Krissinee

    What I fear about is we are all driven by expectations in this world. I’m expecting a degree from my university, my professor is expecting my work (perhaps?), recruiters are expecting me as their candidate employees while I expect adequate compensation from them.

    I could never think of how much others are expecting at me. It’s a neverending topic, and I’m always set my neverending expectations. But screw it maybe?

    Hurts

    แต่ก็คือ เธอรู้ตัวเองแล้ว เธอก็ควรจะปัดๆ มันออกไปบ้างเวลาเธอมาคิดรู้สึกผิด กับสิ่งที่มันไม่ได้ผิดเลย

    Nicha

    It hurts being me.

    I must admit that sometimes I don’t think the world is kind enough to me, but well, I can’t change that. All I can change is myself as part of others’ worlds.

    I don’t know if I’m too harsh to the others or not, also I don’t know whether someone will feel bad about me being too kind or not too.

    I know I hurt people too. It’s not an excuse, but sorry, I didn’t mean it. I just wanted you to know that I hurt too when you’re hurt by me. Yes, I know I deserved that, but please accept my apology for all the offences I’ve made.

    Good times, bad times

    ชีวิตไม่เคยหยุด ยืนไปอยู่อย่างนี้ บางทีก็มีสุข บางทีก็มีทุกข์

    Jabaja – BNK48

    The truth of the world I needed to learn on coping it in a better manner.

    I sucked at accepting changes. This could be because of my behavioural syndrome (diagnosed by a psychiatrist). But changes should be challenging and I should learn to deal with it in a challenging way.

    And this too shall pass

    This section–the post’s conclusion–was finished even before the main body of this post. I just wanted to say to my future self that despite all the mistakes and hard times, I’ve passed them all.

    Getting over your guilts, mistakes, worries, or any kind of negative feelings is such a hard thing. It takes time, courage, motivation, and of course countless drops of tears.

    I don’t want to set any resolutions. I just wanted to be my better self, just a little bit better day by day is okay. I wanted to smile more, make people around me smile more, embrace how things around me revolve, and surely embrace in myself.

    Courtesy: Undertale

    Despite everything, it’s still you.