Category: Life

  • ประสบการณ์ ReLEx SMILE (ผ่าแก้สายตาสั้น)

    ประสบการณ์ ReLEx SMILE (ผ่าแก้สายตาสั้น)

    (Featured image courtesy of Zeiss)

    ข้อปฏิเสธความรับผิดชอบ

    • บทความนี้ไม่ได้รับการตอบแทนในรูปแบบใด ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงส่วนลด เงิน สิ่งแทนเงิน หรือสิ่งของ
    • บริการที่ปรากฎในบทความนี้ได้รับโดยการจ่ายเงินจากผู้โพสต์เองทั้งสิ้น
    • บทความนี้ไม่ได้รับการทวนสอบโดยแพทย์​ หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์​ ผู้เขียนไม่รับประกันความถูกต้องของเนื้อหา

    ได้เรื่องเขียนบล็อกสักที!

    เมื่อเร็วๆ นี้ไปผ่าตัดแก้สายตาสั้นมา สรุปลงเอยที่ผ่า ReLEX SMILE กับอาจารย์ตุลยา ตั้งศิริพัฒน์ ที่ศูนย์ตาท็อปจักษุ แถวปากเกร็ด

    ผ่านมาได้ไม่กี่วันก็ซ่าแล้ว และนี่คือเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

    ผ่าทำไมก่อน

    นั่นสิ คนเราจะอยากผ่าตาทำไม

    สายตาเราสั้นไม่น้อย แต่ก็ไม่เยอะ (ข้างละประมาณ​ 500) และมีเอียงผสมนิดหน่อย ดังนั้นมองอะไรไกลๆ ไม่ชัดเลย

    คำตอบมีแค่ว่า “อยาก”​ ใส่แว่น แต่ไม่อยาก “ต้อง”​ ใส่แว่น คือรู้สึกว่าแว่นเนี่ย ใส่แล้วมัน charismatic ดี แต่อยากมีโมเมนต์ถอดแว่นกับเค้าบ้าง ไม่อยากตื่นมาตอนเช้ารีบๆ แล้วต้องหาแว่นใส่ก่อน อะไรประมาณนี้

    ถ้าไม่นับปัญหานี้แล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับแว่นเลย โชคดีที่ปกติตัดแว่นกับร้านที่เชื่อใจ เชื่อมือ และแว่นออกมาคุณภาพดีตลอดอยู่ด้วยแล้ว (แว่นตาแปซิฟิก ตรงอนุเสาวรีย์ชัย)

    วันดีคืนดีคุยกับพี่วิ HR สุดน่ารักจากที่ทำงาน พี่วิแนะนำแค่ว่า “ผ่าเถอะ ดีจริง” แล้วด้วยความที่มั่นใจว่าเราอายุยังน้อย แต่สายตานิ่ง ไม่เปลี่ยนแล้ว ก็เลยคิดว่าเอาวะ ผ่าเลยแล้วกัน

    หาที่ผ่า และวิธีผ่า

    พยายามจะ rule in-out วิธีผ่าต่างๆ ออกจากกัน ปกติแล้ววิธีการผ่าสายตามีหลายแบบ แต่ย่อยเหลือได้แค่ประมาณนี้

    • LASIK
      • เปิดรอบดวงตาเป็นวงกลม ยาวๆ เกือบครบวงกลม
      • เฉือนกระจกตาชั้นกลางออกมา
      • ทีนี้ จะเปิดยังไง (ใช้มีดหรือเลเซอร์) จะเฉือนยังไง (ใช้มีด เลเซอร์ แสงต่างๆ) อันนี้นี่แหละที่จะทำให้ราคาต่างกันออกไป
      • ส่วนตัวเลือกได้ ขอไม่เปิดกระจกตาดีกว่า ยังอยากถือ pilot licence ได้ (ถ้าเข้าใจไม่ผิด LASIK แล้วจะมีปัญหา)
        • ถ้าคนที่บริษัทมาอ่าน เดี๋ยวผมเป็นนักบินรายต่อไปของบริษัทเองครับ อิ____อิ
    • PRK
      • ลอกกระจกตาแทนการเฉือนกระจกตา
      • แต่จะมีแผลบนดวงตาเป็นวงกลมกินพื้นที่เยอะๆ ไม่ใช่แค่แผลเปิดเอากระจกตาออกมา
      • เค้าบอกว่าทนกว่าวิธีอื่นสุดแล้ว นักบินทำวิธีนี้กัน แต่เจ็บสุด หายยากสุด
      • rule out ทันทีเพราะช่วงนี้งานเดือด ลายาวๆ ยาก
    • ReLEx
      • ใช้เลเซอร์ตัดกระจกตาเป็นเลนส์ส่วนเกิน
      • เปิดแผล 2-4mm แล้วเอาเลนส์ส่วนเกินนั้นออก
      • ดูเป็น compromise ระหว่างสองวิธีแรกดี
      • อย่างเดียวที่ไม่ compromise คือกระเป๋าสตางค์ ทำครั้งเดียวอาจจะทำวิธีบนๆ ได้สองคน
      • ทีนี้ ReLEx เป็นชื่อวิธีผ่าตัด แต่ SMILE, CLEAR เป็นชื่อการค้า เหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กับมาม่า ไวไว โรงพยาบาลมีเครื่องยี่ห้อมาม่า อีกโรงพยาบาลมีเครื่องยี่ห้อไวไว
      • แต่ปกติที่เราเห็นกันก็จะเป็น ReLEx SMILE ใช้เครื่องของ Zeiss ซึ่งหมอบางคนบอกว่าเครื่องของ Zeiss เป็นเครื่องเดียวที่ FDA approved (หรือ cleared) ให้ใช้ในการผ่าแบบนี้ (ไม่ใช่แบบที่ใช้เลเซอร์ทำ LASIK)
    • ICL
      • ใส่เลนส์เสริม กรณีโน่นนี่นั่นบางเกินกว่าจะถูกเฉือนออกไป
      • โ ค ต ร แ พ ง ยิ่งกว่า ReLEx

    สรุปก็เลยทำ ReLEx SMILE เพราะจ่ายไหว แผลเล็ก เผื่อใครยังนึกภาพไม่ออก วิดีโอนี้ทำให้เห็นภาพได้ดี

    ทีนี้ก็ได้เวลาเลือกที่ทำ

    • TRSC
      • ตอนแรกว่าจะทำที่นี่เลย เข้าเว็บไปแล้วประทับใจมาก โห ข้อมูลมีครบหมด
      • เทียบราคากับที่อื่นแล้ว rule out ทันทีจ้า
    • รพ.จุฬา
      • ตั้งใจว่าจะทำที่นี่
      • แต่เห็นรีวิวของพี่ชิน (ประสบการณ์ทำ ReLEx SMILE ณ รพ.จุฬาฯ (cloudian.in.th)) บอกว่าต้องตรวจและทำแยกกันพักนึงเลย
      • ไม่อยากไปกลับนนทบุรีกรุงเทพบ่อยๆ มันเหนื่อย (โดยเฉพาะถ้าขับรถไม่ได้) ก็เลยเลือกที่จะไม่ทำที่นี่ดีกว่า
    • สมิติเวชไชน่าทาวน์
      • ดูดีเลย ราคาไม่ได้แรงกว่าโรงพยาบาลจุฬามาก
      • ทำเสร็จมีห้องพักให้นอนหนึ่งคืนด้วย จ่ายเพิ่มจากจุฬานิดหน่อย (ที่แปลว่าก็เยอะอยู่) แต่แลกกับสะดวกก็โอเคแหละมั้ง
      • ทำเสร็จฝากรถไว้แล้วขอไปกินข้าวเยาวราชหลังออกจากโรงพยาบาลคืนนึงได้ไหม…
    • ศูนย์ตาท็อปจักษุ
      • เอ้ย ใกล้บ้านดี นั่งรถไฟฟ้าชิลๆ 30 นาที
      • ถูกที่สุดในสามที่ที่ผ่านมา ReLEx บางวันมีโปรเหลือ 79,000 รวม pre-op check และ f/u 5 ครั้งด้วย
    • โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง)
      • น่าจะถูกที่สุดในประเทศ ที่ 74,000 ไม่รวมตรวจอื่นๆ
      • แต่ไม่อยากขับรถนนทบุรีนครปฐมไป follow up
      • ถ้ายังอยู่บ้านพ่อแม่ที่นครปฐม ไม่มีเหตุผลเลยที่จะไม่ทำที่นี่

    ก็เลยตกลงไปทำที่ศูนย์ตาท็อปจักษุ

    วันตรวจตาก่อนผ่า (work-up)

    ของเราตั้งใจตรวจและผ่าตาคนละวัน ตรวจวันพุธ​ ผ่าวันศุกร์ถ้าผ่าได้

    ไปตรวจตาทำอะไรบ้าง

    • วัดค่าสายตา พร้อมกับต้องตอบคำถามให้ได้ว่าสายตานิ่งหรือยัง ของเรามีเลขจากแว่นตาและร้านตัดแว่นตาไปให้ช่วยดู
    • วัดความดันลูกตา จะมีเครื่องเป่าลม ปุ๊! ปุ๊! ปุ๊! (สามรอบ) เข้าลูกตา สะดุ้งอยู่
    • วัดปริมาณน้ำตา เอากระดาษกรองมาเสียบไว้ตรงใต้ตา มันจะระคายเคือง แล้วน้ำตาไหล ทิ้งไว้แป๊บนึงแล้วดูว่าน้ำตายาวเท่าไหร่บนกระดาษกรอง
    • วัดความหนากระจกตา จะมีเครื่องปล่อยแสงสีฟ้าๆ หมุนๆ ต้องจ้องตาไว้ให้นิ่งๆ

    จำได้แค่นี้ แต่กระบวนการตรวจนานมากๆ น่าจะกินเวลาถึง 2-3 ชั่วโมงเลย

    ก่อนวัดความหนากระจกตา (มั้ง) ต้องหยอดยาขยายม่านตา ซึ่งเข้าใจว่าจะทำให้สู้แสงไม่ได้ และแน่ๆ คือจะมองใกล้ไม่ได้ไปแป๊บนึง ไม่แนะนำให้ขับรถมาเอง และพกแว่นดำไปใส่กลับบ้าน สบายใจดี

    ตรวจเสร็จก็มีเจ้าหน้าที่มาบอกว่าผลเป็นอย่างไรบ้าง สรุปคือโอเคทุกอย่าง กระจกตาหนากว่าคนปกติพอสมควร (ของเรา 600 กว่าไมครอนมั้ง ถ้าจำไม่ผิดควรอยู่ 500 กลาง) น้ำตาผ่านเกณฑ์เลขสองหลัก

    และเจ้าหน้าที่ก็ brief กระบวนการการผ่าคร่าวๆ ให้ ว่า ReLEx SMILE ต้องใช้ความร่วมมือจากคนไข้ ในการทำตาให้อยู่นิ่งๆ ให้ไปดูวิดีโอของคุณหมอแนะนำขั้นตอนการผ่านิดนึง ก่อนเจอหมอ (ซึ่งเราก็ดูไปรอบนึง ถึงจะดูและอ่านรีวิวทั้งไทยและเทศมาเกิน 20 ฉบับแล้วก็ตาม)

    ทีนี้ก็เหลือมาให้หมอส่องตารอบสุดท้าย

    เจอคุณหมอ

    หลังจากตรวจตาเสร็จ ก็ได้เข้าไปคุยกับคุณหมอ คุณหมอส่องตาแล้วบอกว่าโอเคเลย ไม่มีปัญหา ผ่าได้ ทุกอย่างสวย

    คุณหมอย้ำว่า compliance คนไข้สำคัญมากๆ ต้องทำตาให้อยู่นิ่งๆ ในเครื่องได้ ~30 วินาที ต้องไม่ขยับ ต้องมองจุดแสงนิ่งๆ และไม่ขยับแม้แสงจะหายไปแล้ว

    ก่อนออกไป ถามคำถามที่สำคัญที่สุดกับคุณหมอ ว่า “เอาตุ๊กตาเข้าห้องผ่าตัดได้ไหม” หมอบอกว่าได้

    เรียบร้อย กลับบ้าน วันนี้ยังไม่มีค่าใช้จ่าย

    Pre-op anxiety

    คืนก่อนผ่าความกลัวมาเยือน เพราะว่าถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะหัดจ้องนิ่งๆ มาพักนึงแล้วก็ตาม แต่คืนก่อนผ่าก็กลัวจ้องได้ไม่นิ่งพอ

    ไปนั่งหารีวิวอ่านต่างประเทศเพิ่มอีก ว่าถ้าตาดุ๊กดิ๊กเล็กน้อย มันมีปัญหาไหม คำตอบคือไม่ค่อยน่ากังวล เพราะเครื่องเลเซอร์ detect ตาเราถี่มากๆ อยู่แล้ว ถ้ามันเจอตาเราหลุดไปไหน มันหยุดเลเซอร์ต่อทันที และตัวมันเอง compensate การขยับเล็กๆ เราได้

    ทำใจให้สงบ นอน

    วันผ่าตัด

    บิบิ M และบิบิ L

    วันผ่าตัดจะมีข้อกำหนดเรื่องการปฏิบัติตัวอยู่ ใดใด อาจจะต่างกันไป แต่หลักๆ คืองดสเปรย์ น้ำหอม แต่งหน้า ใส่เสื้อมีกระดุมหน้า

    พาบิบิ L ซึ่งเป็น spiritual animal (และเป็นตัวแทนของบิบินับตัวไม่ถ้วนที่เลี้ยงดูอยู่) ไปผ่าตัดด้วย

    วันผ่าตัดจะมีตรวจตาอีกครั้ง เข้าใจว่าตรวจสายตาเพื่อ final cross-check ว่าตาจะออกมาเป็นแบบนี้ มีแว่นให้ลองใส่หนึ่งอันว่ามองชัดไหม

    มีเซ็นเอกสารที่เป็น consent form ระบุรายละเอียดต่างๆ ซึ่งท่อนที่สำคัญที่สุดสำหรับเราคือระบุว่าถ้า ReLEx แล้ว “suction lost” (เจอว่าตาขยับ) จะต้องเปลี่ยนเป็นไปทำวิธีอื่นทันที (ซึ่งไม่อยากทำ) แล้วก็ทำพิธีกรรมที่สำคัญที่สุดคือรูดบัตรจ่ายเงินที่ 79,120 บาทถ้วน (120 บาทค่าบริการโรงพยาบาล)

    เสร็จแล้วก็เข้าห้องเตรียมผ่าตัด บอกพยาบาลห้องผ่าตัดว่าขอเอาตุ๊กตาเข้าไปอีกรอบ พยาบาลกังวลว่าตุ๊กตาตัวใหญ่แค่ไหน พอหยิบออกจากกระเป๋าให้ดูก็ยิ้ม แล้วบอกว่าพาเข้ามาได้เลย

    สวมชุดผ่าตัดทับชุดที่ใส่มา (ซึ่งแนะนำให้ใส่ชุดแขนยาวมา อากาศอาจจะเย็นนิดนึง) แล้วก็นั่งพักผ่อนสักพักนึง พยาบาลเอายาแก้กังวลมาให้กินก่อนหนึ่งเม็ดพร้อมกับพารา เสร็จแล้วก็เริ่มทาฆ่าเชื้อทั้งหน้า และหยอดยาชาเข้าตา

    พอถึงเวลาได้ยินคุณหมอบอกว่า “พร้อมนะ”​ ก็ตอบไปว่าพร้อมครับ คุณหมอช่วย reassure ว่า “ไม่ต้องกังวล เราอยู่ด้วยกันตลอด” และแถมให้ด้วยว่าเพราะเราผ่าคนแรกของวัน และมาก่อนเวลานัด เรามีเวลาอยู่ด้วยกันหนึ่งชั่วโมงยาวๆ ถ้ากังวล ถ้าไม่สบายใจอะไร มีเวลาคุยกันตลอด

    เสร็จแล้วก็เข้าห้องผ่าตัดกับเหล่าคุณผู้ช่วยไปก่อน

    Image courtesy: Zeiss, Fair Use

    เครื่องผ่าตัดจะเป็นแบบนี้ เครื่องขวาเอาไว้ทำอะไรไม่รู้ แต่เราจะใช้กันเฉพาะเครื่องซ้ายที่เป็นเครื่องเลเซอร์ เราจะนอนลงก่อน แล้วจะหมุนเตียงเข้าไปใต้เครื่อง

    คุณผู้ช่วย (ผู้ชาย เสียงนุ่มๆ) ช่วยมา calm เราแล้วบอกว่า เรามีสามอย่างที่จะต้องช่วยกัน

    • ความกลัว ห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นปล่อยไป สัญญาว่ายังไงอยู่ด้วยกันตลอด ต้องทำอะไรบ้าง จะมีเจ้าหน้าที่บอกอยู่ใกล้ๆ อยู่แล้ว
    • เจ็บ ไม่ต้องกลัวเลย อัดยาชาเต็มที่อยู่แล้ว
    • compliance คือเรื่องเดียวที่ขอ ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือจ้องแสงเลเซอร์ และจ้องจนกว่าเจ้าหน้าที่จะบอกว่าหยุด ห้ามขยับตา
    Image courtesy: Zeiss, Fair Use

    เครื่องจะประกอบไปด้วยสอง “หัว”​ ละกัน

    หัวแรก (หัวดำๆ ในภาพ) คือหัวที่หมอเอาไว้ส่องตา เวลาคีบชิ้นเนื้อออก มีไฟสีขาวๆ ช่วยให้แสง

    หัวที่สอง (ตรงสีฟ้าๆ) อันนั้นแหละคือหัวเลเซอร์ที่จะมาจุ๊บตาเราตอนทำ

    คุณเจ้าหน้าที่เลื่อนเตียงไปใต้หัวแรก บอกว่ามาซ้อมกันก่อน มองไฟสีขาวไว้นิ่งๆ แล้วก็ทดสอบ reflex เรา เอานิ้วมาวนๆ (ว่าไม่กรอกตาตาม) มาจิ้ม (ดูว่าสะดุ้งไหม)

    “โห นิ่งมาก ไม่ห่วงละ”​ คุณเจ้าหน้าที่บอกแบบนี้ ซึ่งเราสบายใจไปมาก

    สักพักนึง คุณหมอเดินเข้ามา คุยกันว่าพร้อมนะ แล้วก็มาคุยกับเรา เจอเรากอดตุ๊กตาไว้ในมือข้างนึง

    “นี่เหรอตุ๊กตาที่บอกจะพามาด้วย”
    “ใช่ครับ”
    “น้องชื่ออะไรเอ่ย”
    “แทนครับ”
    “น้องแทน…​ หมายถึงน้องตุ๊กตานี่นะ ชื่ออะไรคะ”
    “อ๋อ ชื่อบิบิครับ 555555”
    “น่ารักๆ กอดมาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่าคะเนี่ย”
    “มากอดตอนโตนี่ละครับ 55555555555”

    ขำกันรอบวงห้องผ่าตัดหนึ่งกรุบ

    ก่อนผ่าจริงมีทวนชื่อและนามสกุล คุย cross-check กันเต็มไปหมด (น่าจะเพื่อตั้งค่าเครื่อง)

    เสร็จแล้วก็ผ่า เริ่มจากผ่าตาขวาก่อน

    มีกระดาษมาปิดตาซ้าย เทปกาวมาติดหนังตา แล้วก็อะไรสักอย่างมาถ่างตาขวาไว้ ซึ่งเราจะกระพริบไม่ได้แล้ว (แม้ว่าจะกังวลว่าโดยธรรมชาติเราเป็นคนกระพริบตาบ่อยแค่ไหนก็ตาม)

    ใจสั่นมาก หมอค่อยๆ เอาหัวเลเซอร์มาจุ๊บตาเรา เราเห็นแสงสีเขียวกลางตา หมอบอกว่าดีมาก นิ่งนะ เสร็จแล้วก็เริ่มให้เลเซอร์ทำงาน พี่พยาบาลมาจับแขนเรา แล้วค่อยๆ ปลอบ

    เราจะรู้สึกเหมือนมีหมอกเกิดขึ้นจากขอบตา ไล่มาตรงกลางตา พอไล่มาปุ๊บ เลเซอร์จะหายไป แน่นอน ห้ามขยับ จนกว่าหมอจะบอกว่าเสร็จ

    ดูวิดีโอว่าในตารู้สึกประมาณไหนได้ที่นี่ 1:20

    เราเกร็งมาก เกร็งทั้งตัว แต่ตาพยายามให้ไม่ขยับเลย กอดบิบิไว้แน่นมากๆ รู้ตัวอีกทีก็เสร็จแล้ว

    “ดีมาาาากกกกกก” หมอบอกหลังขยับตัวเราออกจากหัวเลเซอร์ มาคีบชิ้นเนื้อตาออก

    วิธีการช่วยหมอเวลาคีบเนื้อตาออก คือหมอจะบอกว่าให้เราจ้องไฟสีขาว แล้วถ้าไฟขยับ (ที่แปลว่ามัน distort แสง เพราะมีอะไรบางอย่างกำลังโดนดึงออกจากตา) ห้ามขยับตาม ตรงนี้ทุลักทุเลนิดนึงเพราะเราเผลอขยับตาม แต่ไม่ใช่ท่อนที่เลเซอร์ทำงาน​ ซึ่ง critical ที่สุด

    หลังจากนั้นก็มาต่อตาซ้าย เราโล่งใจไปเยอะมาก เพราะคิดว่าตาขวาเราช่วยหมอได้ดี

    ปรากฎว่าตอนจุ๊บกับตาขวา เรารู้สึกว่าแสงสีเขียวที่ว่าเนี่ย มันไม่ได้อยู่ตรงกลางตาเรา แล้วพอเราพยายามขยับไปมองเลเซอร์ มันก็ขยับหนีเรา (ทั้งหมดเกิดขึ้นตอนที่ยังไม่ได้ยิงเลเซอร์จริงๆ)

    หมอเห็นท่าไม่ดี หมอถอนหัวจุ๊บเลเซอร์ออก ถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เราอธิบาย แล้วหมอก็บอกว่าโอเค งั้นลองใหม่ จุ๊บหัวเลเซอร์ลงตาเราใหม่

    ซึ่งปัญหาเดิมก็ยังอยู่ คือแสงเขียวๆ มัน off ไปทางขวาเรา แต่มีจุดนึงที่เรามองแล้วแสงมันไม่ขยับตาม คือมองเหลื่อมไปทางซ้ายเลเซอร์นิดๆ หมอบอกว่าจุดนี้ดีมากๆ อยู่ให้ได้นิ่งๆ ก็พอ ตกลงกับหมอว่าโอเค เลเซอร์ทำงานเหมือนเดิม

    เรียบร้อย เกร็งเหมือนเดิมอีกข้าง และทำเสร็จไปอีกข้าง คีบเลนส์ออกซึ่งรู้สึกว่าตอนเลเซอร์ทำได้ดีมาก แต่ตอนคีบออกช่วยหมอได้ไม่ดีเหมือนเดิม

    หลังจากนี้จำอะไรไม่ค่อยได้ แต่รู้สึกว่าได้รับคำชมจากเจ้าหน้าที่ทั้งห้องผ่าตัด รวมถึงคุณหมอ เสร็จแล้วก็หมุนเตียงกับคืนที่เดิม

    พอลุกออกจากเตียง สิ่งที่เห็นคือทุกอย่างเหมือนแว่นขึ้นฝ้า แต่มันเห็นขอบผนัง ขอบเพดานชัด!!! ซึ่งเราหัวเราะออกมาเลย แบบ 5555555555555 นี่คือ first step to HD vision สินะ

    ออกมา คุณหมอตรวจตาเสร็จ แล้วก็ไปเตรียมกลับบ้าน

    ยาชาหมดฤทธิ์

    ตอนผ่าเสร็จไม่เจ็บเลย สบายมาก และเร็วมากด้วย เร็วจนเสร็จก่อนเวลาที่นัดคนมารับเอาไว้

    ทีนี้แหละ ผ่านไปสักพัก ยังไม่ทันมีคนมารับ ยาชาหมดฤทธิ์ เจ็บ น้ำหูน้ำตาไหลพรากๆ

    ทุกการผ่าตัดเป็นแบบนี้จริงๆ ออกมาจากห้องจะซ่าเลย พอยาชาหมดเท่านั้นแหละ ร้องเป็นหมา (ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้ามีผ่าฟันคุด และเล็บขบมาแล้ว แต่ผ่าตานี่เจ็บน้อยสุดเทียบกับสองอย่างที่ว่ามาหลังยาชาหมดนะ ไม่เรียกเจ็บด้วยซ้ำ เรียกแสบ)

    คนมารับ กลับบ้าน กินยา นอน

    นอนไปได้สักพักก็ตื่นมา ตื่นก็หยอดน้ำตาเทียม ฟัง podcast ไปเรื่อยๆ (Pro tip: เตรียม podcast รอไว้ยาวๆ เลย ของเราได้ฤกษ์ฟัง “30 ยังจ๋อย” ตอนของพี่เอิ๊ต ภัทรวี กับพี่แชมป์ ทีปกร แล้วก็ Lateral ของ Tom Scott)

    ภรรยากลับมาจากทำงานต่างจังหวัด เช็ดตา ดูแล ปิดตาให้ แล้วก็นอน

    ทำไมต้องเช็ดตา คำตอบง่ายๆ เลยคือดวงตาคู่นี้จะโดนน้ำไม่ได้ไปอีกหลายวันพอสมควร และตอนนอนต้องใส่ฝาครอบตา ช่วยไม่ให้เผลอไปขยี้ตา

    ระหว่างนี้วันแรกต้องหยอดน้ำตาเทียมอัดๆๆๆ ไว้ทุก 15 นาที และหยอดยาฆ่าเชื้อวันละสี่เวลา

    หมออาจจะ prescribe น้ำตาเทียมต่างยี่ห้อกันไป แต่ของเราใช้ Vislube ซึ่งได้ยินว่าแพงกว่ายี่ห้ออื่น ตอนเปิดฝาทำหยดลงมือหนึ่งหยด แล้วพบว่ามันเหนียวหนืดมาก น่าจะช่วยให้ตาชุ่มได้ยาว

    วันที่สอง

    เค้าบอกวันนี้ใช้สายตาได้แล้ว แต่ก็พยายามจะเพลาๆ อยู่ก่อนละกัน ที่สำคัญคือใส่แว่นดำออกจากบ้าน (กราบขอบพระคุณคุณพ่อ ให้ขโมย Ray-Ban พับได้มาใช้ พกสะดวกมากๆ)

    อ้อนคุณภรรยาหน่อย

    ไปตรวจตา ไม่มี concerns อะไรเป็นพิเศษ​ กลับมาหยอดยาและน้ำตาเทียมกันต่อไป

    น้ำตาเทียมเหลือหยดชั่วโมงละครั้ง

    เป็นไงแล้วบ้าง

    มองไกลๆ คมมาก แต่มองใกล้ๆ ได้ไม่ดีเท่าตอนสายตาสั้น เหมือนเสียพลัง super vision

    เจอ glow รอบแสงสว่างๆ เช่นอย่างตอนเขียนบล็อกนี้ก็เหมือนมีคนใส่ outer glow ให้ text กับถ้าเป็นหลอดไฟสว่างๆ มากๆ ก็จะเห็นแสงเป็นแฉกๆ เพิ่มขึ้นไปอีก

    ให้ดูเอ็มวีนี้ไว้ แสงฟุ้งๆ แบบนี้คือแสงที่เห็นจริงๆ

    ใส่แว่น

    เหมือนที่บอก “อยาก”​ ใส่แว่น แต่ไม่อยาก “ต้อง”​ ใส่แว่น

    สั่งแว่นกรองแสงอันละไม่กี่ร้อยมา แล้วก็พบว่าเออ แฮปปี้มั้ง แต่ใส่แล้วขอบโน่นนี่ที่มองเห็นมันฟุ้งขึ้นเล็กน้อย

    เลยไปเดิน Ophtus สยาม พบว่าแว่นแพงก็เจอขอบฟุ้งขึ้นเล็กน้อยเหมือนกัน แต่แฟนบอกว่าเป็นแว่นที่ใส่แล้วทำให้เป็นหนุ่มแว่นที่ดีมีแต่คนเคลมว่าแว่นใช้ดีอยู่ เลยจัดมาอีกคู่

    สรุปตอนนี้มีแว่นสี่คู่: แว่นกันแดดหนึ่ง แว่นเหลืองทำงานหน้าจอคอมหนึ่ง แว่นทรานซิชันส์ออกแดดแล้วมืดหนึ่ง และแว่นตัดแสงธรรมดาที่เลนส์ไม่เหลืองหนึ่ง

    ทั้งหมดคนละทรง อยากเปลี่ยนลุคก็จิ้มๆ มาใส่เอา…

    สรุป

    release blog ออกมาก่อน เพราะว่าตอนนี้หลังทำแค่สองวันก็รู้สึกดีมากๆ แล้ว และกลับมาใช้สายตาได้เร็วกว่าที่คาด (ถึงจะพยายามเพลาๆ ให้ได้อยู่ก็ตาม)

    หลังจากนี้ก็ follow up 1 สัปดาห์, 1 เดือน, 3 เดือน, และ 6 เดือน (รวมกับ 1 วันหลังทำแล้วก็เป็น 5 ครั้งถ้วน)


    Update 1: ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์

    หมอบอกโดนน้ำได้แล้ว ยังเห็นแสงฟุ้งๆ อยู่ ซึ่งปกติ

  • เธอไม่เคยอยากเขียนบล็อกถึงเขา

    เธอไม่เคยอยากเขียนบล็อกถึงเขา

    เธอไม่เคยอยากเขียนบล็อกถึงเขา

    แสงสีขาวจากช่องพิมพ์ข้อความแยงตา บรรยากาศต่างจากคืนวันนั้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไม่มีแสงนวลบนท้องถนนและผู้ชุมนุม มีเพียงความเปล่าเปลี่ยวและแสงสังเคราะห์แข็งกระด้าง

    อีกหนึ่งคืนที่ไม่มีเขาอยู่ข้างๆ

    เธอพิมพ์–แล้วก็ลบ–แล้วก็พิมพ์–แล้วก็ลบ ทั้งที่ปกติเธอเขียนเป็นงานอดิเรก แต่นี่ไม่ใช่รอบแรกที่เธออยากเขียนอะไรถึงเขาในนี้แล้วลบมันทิ้งไป

    เธอไม่อยากกร่อนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับเธอให้ดูเหมือนกับเป็นนิยายอีกต่อไป เธอไม่อยากให้มันเป็นเพียงโพสต์หนึ่งโพสต์ที่ไม่รู้จะมีใครมาอ่านหรือเปล่า

    เธอกด save draft แล้วปิดหน้าเว็บเขียนบล็อกของเธอทิ้ง เปิดเวิร์ดขึ้นมา

    อย่างน้อยไฟล์พีดีเอฟที่มีไว้แค่สำหรับ “เขา” ณ ปลายทางอีเมล ก็เป็นไฟล์พีดีเอฟที่เธอไม่ต้องตัดทอนเรื่องของเขาให้เหลือเพียงเรื่องที่เหมือนเรื่องแต่ง

    แสงสีขาวจากจอคอมพิวเตอร์ แต่พอเป็นเวิร์ด มันกลับอุ่นกว่ากันเหลือเกิน

  • ความทรงจำจากร้านหนังสือเชน

    ความทรงจำจากร้านหนังสือเชน

    ตลอดเวลาที่อ่านหนังสือมา สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการที่มันถูกส่งต่อจากคนที่รักหนังสือจริงๆ ไปยังคนแบบเราที่เป็นผู้เสพ (จริงๆ ละอายใจที่จะเรียกตัวเองแบบนี้—เป็นเพียงคนอ่านโง่ๆ)

    ทุกครั้งที่ซื้อหนังสือจากแหล่งท่องถิ่นที่ไม่ได้ถูก operate ด้วยเชนขนาดใหญ่ เราเห็นความตั้งใจ เราส่งต่อคำขอบคุณไปถึงคนที่ทำ คนที่สรรหา เรารู้สึกเหมือนพนักงานร้านหนังสือเป็นภัณฑารักษ์ (curator) คัดสรรหนังสือประหนึ่งเลือกงานศิลปะ

    การมองแบบนี้ทำให้กลิ่นหนังสือยามเลือกซื้อในร้านเชนไม่มีวันหอมเท่าสั่งออนไลน์ผ่านสำนักพิมพ์

    แต่บางครั้งก็อาจจะลืมไปว่าในร้านเชน—เช่นเวลาคุณเดินคิโนะคุนิยะ—ร้านเหล่านั้นก็อาจขับเคลื่อนด้วยคนแบบในสำนักพิมพ์ เต็มไปด้วยความตั้งใจที่เปี่ยมล้นไม่ต่างจากในร้านหนังสือกิจการครอบครัว หรือคนในสำนักพิมพ์

    จริงๆ ก็ต้องขอบคุณร้านเชนที่ทำให้หลายคนเข้าถึงร้านหนังสือได้ผ่านพลังแห่งการโหมโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ครั้งหน้าที่เข้าร้านเชน กลิ่นของร้านก็คงหอมขึ้น ปลายนาสิกถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นกระดาษ กลิ่นความทรงจำลอยขึ้นมา เป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของคนที่ครั้งหนึ่งพาเรากลับมาอ่านหนังสืออีกรอบ

    และจุดเริ่มต้นของมันเกิดจากร้านเชน

  • 2019: And this too shall pass

    Seriously, this is a very hard year to recap. My blog posts about 2017 and 2018 were written in a really smooth way with all the breezes, I really find no difficulties writing them.

    It’s different this year, to be honest. A very hard year to recap, also a very hard year that I’ve faced. I was hesitating whether I should write this blog post or not because it’s going to be extremely personal comparing to the last years’, and also I don’t want to be too emotional on my birthday’s eve.

    Life

    It’s pretty awesome, it’s pretty awful.

    You understand happiness the best on the day when the sunlight shades on you, after you’ve strive to climb over and pass all the obstacles you’ve seen.

    Mary

    Yeah, we have ups and downs. But sticking to that “down” time, imagining that you would never get over it, is such a terrible feeling.

    Seeing which part of being a good human we’ve lacked is essential in order to be a part of the “social community”. Yet I know I adhered to it so, so, much. I just can’t stop seeing myself as an imperfect guy, failing to behave like what every human being should do.

    I always have a goal of changing the lives of people whom I’ve touched. It’s the goal that I felt like I’ve never achieved, perhaps.

    ขอบคุณมากครับพี่แทน ถ้าไม่มีพี่แทนผมคงมาไม่ถึงจุดนี้ครับ ขอบคุณจริงๆ ครับ

    Sanurak

    But it’s not that bad maybe? I just learned with confidence that I can change people’s perspectives. Those feelings are wonderful, and hey, I felt like I’m a little more worthwhile!

    Still, I think I can do more. There are still so many things I wanted to do, so many lives I wished to touch, so many commitments I wanted to achieve.

    Perhaps let’s try them in the upcoming decade?

    Love

    I love myself less.

    มึงมีค่าพอให้คนอื่นมารักเว้ย

    Rawissara

    Seriously, I don’t even think I love myself. There are aspects of me that I’m so proud of. I’m proud of having so-called feminine feelings. I’m proud of some of my achievements. There are things that can make me smile, and I’m glad that at least I appreciated that.

    Change from talking about appreciation to love and the answers are totally flipped, however. I never think of myself as someone who deserved love. Even loving myself.

    I always know that love is such a worthwhile feeling. I think I know how to love someone, even I’m not certain I’m good at loving someone or not. People keep saying that ones can’t love others if they don’t love themselves. If that’s true then maybe I don’t really know how to love someone.

    But you know what? Despite having thoughts that I never deserved love, I always feel others’ people love around me. I feel being loved by people who I cared so much. I was fulfilled to the level that I felt bad for believing that I can’t fulfil them like what they’ve done to me. I hurt their feelings, I offended them, I made them care about me too much and care about themselves less.


    To everyone whom I love, and to everyone who loved me

    Your kind words, touches, understandings, and empathy to me is very worthwhile. I can’t be grateful enough for your positive vibes.

    I’m sorry. I know I’m a troublemaker. And of course, I know you’ll hate me for saying something like this. I just really wanted to be sincere with you about how I really felt about myself, and I hope you understand that.

    I’m sure that those are things you don’t want to hear me saying about how negative I am, so I will promise this: I’ll learn how to love better. I’ll love you more, and certainly, I’ll learn to love myself more. It takes time, to be honest, but I’ll devote myself to it.

    Actually, I think I’m one more step into understanding what love is. After a long decision, I just decided to receive treatments with a psychiatrist because I wanted to be better at loving myself, so I could love you better and be less troublesome. This wouldn’t be impossible without all of you giving me care and love thus making me believe I’m worthwhile in some way. So, thank you for being a giant leap in changing myself–it might sound like you’ve done nothing perhaps, but without you, I would be standing at the same valley of depression.

    และอย่าลืมว่าตอนนี้เพื่อนก็เป็นคนที่วิเศษอยู่แล้วเหมือนกันค่ะ !

    Kittiya

    My friend once told me that I’m a wonderful person. Despite not totally believing this, I just wanted to tell you that I’m trying my best to be better.

    I really appreciated what you all have done for me. For me, it can’t be more worthwhile.


    Expectations

    ขออภัยที่ทำให้อาจจะรู้สึกว่าคาดหวัง แต่สำหรับคุณคนที่มีระดับการคาดหวังด้วยตนเองสูงอยู่แล้ว ผมคงบอกว่าโดยส่วนตัวไม่เคยกังวลหรือคาดหวัง และผมคิดว่าไม่จำเป็นมากที่จะต้องพึ่งพาความคาดหวัง แต่คิดว่าน่าจะเน้นที่การ support น่าจะเหมาะกว่า

    Ajarn Jittat, https://twitter.com/jittat/status/1191914645952446464

    I don’t know if I set my expectations too high or not. It appears as I’ve failed at so, so, many things.

    I seriously have no idea what other people are expecting at me. Sometimes I felt like I’ve satisfied their expectations, but most of the time I felt like I’m some kind of failure. To be honest, I don’t think it’s Imposter syndrome–there is still a lot for me to explore, and I’m only a small guy in this world.

    เพราะคนอื่นที่นี่คิดว่าหนูทำงานได้ดีและได้ตามความคาดหมาย

    P’ Krissinee

    What I fear about is we are all driven by expectations in this world. I’m expecting a degree from my university, my professor is expecting my work (perhaps?), recruiters are expecting me as their candidate employees while I expect adequate compensation from them.

    I could never think of how much others are expecting at me. It’s a neverending topic, and I’m always set my neverending expectations. But screw it maybe?

    Hurts

    แต่ก็คือ เธอรู้ตัวเองแล้ว เธอก็ควรจะปัดๆ มันออกไปบ้างเวลาเธอมาคิดรู้สึกผิด กับสิ่งที่มันไม่ได้ผิดเลย

    Nicha

    It hurts being me.

    I must admit that sometimes I don’t think the world is kind enough to me, but well, I can’t change that. All I can change is myself as part of others’ worlds.

    I don’t know if I’m too harsh to the others or not, also I don’t know whether someone will feel bad about me being too kind or not too.

    I know I hurt people too. It’s not an excuse, but sorry, I didn’t mean it. I just wanted you to know that I hurt too when you’re hurt by me. Yes, I know I deserved that, but please accept my apology for all the offences I’ve made.

    Good times, bad times

    ชีวิตไม่เคยหยุด ยืนไปอยู่อย่างนี้ บางทีก็มีสุข บางทีก็มีทุกข์

    Jabaja – BNK48

    The truth of the world I needed to learn on coping it in a better manner.

    I sucked at accepting changes. This could be because of my behavioural syndrome (diagnosed by a psychiatrist). But changes should be challenging and I should learn to deal with it in a challenging way.

    And this too shall pass

    This section–the post’s conclusion–was finished even before the main body of this post. I just wanted to say to my future self that despite all the mistakes and hard times, I’ve passed them all.

    Getting over your guilts, mistakes, worries, or any kind of negative feelings is such a hard thing. It takes time, courage, motivation, and of course countless drops of tears.

    I don’t want to set any resolutions. I just wanted to be my better self, just a little bit better day by day is okay. I wanted to smile more, make people around me smile more, embrace how things around me revolve, and surely embrace in myself.

    Courtesy: Undertale

    Despite everything, it’s still you.

  • Random thoughts: 23 Dec 2019

    This is quite personal and I don’t really want to write it down here, but have no other options because my diary notebook is left at the laboratory.

    I just realised what I totally lacked right now is my self-esteem. I appreciate myself less as a single entity, and judge myself based on how others appreciated me or how I behave as part of the social.

    Seriously, I would never have thought that the boy who was full of self-confidence that day will become this desperate man. I tend to think I’m worthwhile only when I’m surrounded by others. I waited for people to say how they appreciated me in order to feel somewhat “valuable”.

    Thinking of those old days when I could fully say to myself that I’m worthwhile the way I am. I would never have a good answer on why and how I became like this.

    The only thing I know is that it’s pretty sucked. Seriously.

  • เศษแก้วที่แตก

    คุณรู้อะไรไหม ตั้งแต่จำความได้ ตัวฉันก็เป็นเศษแก้วที่แตกแล้วนั่นแหละ

    แต่คุณ-ฉัน-ทุกคนก็รู้นี่เนอะ ว่าเศษแก้วที่แตกน่ะมันไม่มีวันยอมรับว่าตัวเองเป็นเศษแก้วแตกๆ หรอก คุณค่าของมันหมดไปตั้งแต่วินาทีที่มันหล่นลงพื้น กระจัดกระจายไปทั่ว ตั้งแต่ชิ้นใหญ่จนตาเห็น ถึงอนูแก้วที่เล็กที่สุด

    จะชิ้นไหน ยามเมื่อสัมผัส ก็เลือดออกเหมือนกัน

    เศษแก้วแบบฉันจึงต้องบอกว่าตัวเองไม่ใช่เศษแก้ว–เอ่อ หมายถึงเป็นงานศิลปะ เป็นอะไรสักอย่าง พูดง่ายๆ ว่าจงใจเป็นเศษแก้วน่ะ–หยิบความแตกร้าวของตัวเองมาพูดนิดหน่อย ใส่อารมณ์ขันให้มันไปบ้าง ไม่มีเศษแก้วชิ้นไหนที่อยากยอมรับว่าตัวเองแตกสลายหรอก

    จนคุณมาบอกว่าคุณเห็นฉันเป็นเศษแก้วมาตลอด เห็นความแตกร้าวที่ฉันไม่อยากให้เกิด เห็นว่าจริงๆ แล้ววินาทีที่ฉันหล่นลงพื้น แรงกระทบทำให้ฉันเจ็บปวดแค่ไหน

    คุณเห็นมันทั้งที่ฉันพยายามปกปิดแทบตาย


    คุณรู้ใช่ไหม, เป็นเศษแก้วน่ะ จะเป็นคนแบบไหนมาจับมันก็บาดมือนะ ปากฉันปฏิเสธว่าไม่อยากให้ใครมาจับ แต่ก็เหมือนคุณรู้นั่นแหละว่าฉันถวิลหาสัมผัสมากแค่ไหน, สัมผัสที่ฉันได้รับเมื่อยามเป็นแก้วเต็มใบ

    แล้วฉันก็บาดมือคุณ

    ฉันก็รู้ว่าเลือดสีแดงฉานมันจะออกจากตรงที่ฉันบาดคุณ แต่ฉันไม่คิดว่าของเหลวไร้สีมันจะออกมาจากตาคุณด้วยเช่นกัน

    วินาทีที่หยดของเหลวใสนั้นหยดกระทบฉัน ฉันรู้สึกว่ามันแข็งและแหลมคมยิ่งกว่าพื้นที่ฉันเคยกระทบ ฉันเจ็บปวดยิ่งกว่าเคย, แต่ถ้ามองว่าเป็นผลลงโทษสำหรับแผลเลือดไหลของคุณ ก็คงสมควรและสาสมแล้วกระมัง


    ทำไมคุณยังจับฉันอยู่นะ? ฉันไม่มีพลาสเตอร์หรอกนะ ฉันเป็นแค่เศษแก้ว

    ทำไมมือของคุณนุ่มจังเลยนะ? ฉันไม่อยากให้มือคู่นั้นต้องหยาบขึ้นจากแผลของเศษแก้วเลย

    ทำไมคุณยังไม่ปล่อยฉันไว้กับพื้นเหมือนคนอื่นนะ?

    ฉันไม่รู้หรอกว่าฉันควรนิยามความสัมพันธ์กับคุณไว้ว่าอย่างไร, เพียงแค่หวังว่าสักวันหนึ่งเศษแก้วอย่างฉันจะถูกลบคมด้วยมือของคุณ ขัดเกลา เจียระไน และเปล่งประกายในแบบที่คุณอยากเห็นฉันเป็น

    คุณค่าของฉันที่คุณมอบให้อีกครั้ง คงไม่มีคำขอบคุณใดๆ จะเพียงพอ


    หมายเหตุ: metaphor ของเศษแก้วได้รับแรงบันดาลใจอย่างยิ่งมาจากวันหนึ่งความทรงจําจะทําให้คุณแตกสลาย ของจิดานันท์ เหลืองเพียร

  • ความต้องการจากความสัมพันธ์

    สารภาพกันตามตรงคือเพิ่งมีความรักอีกครั้ง และก็เพิ่งสารภาพไป, รู้สึกที่ผ่านมาตัวเองผิดพลาดที่ไม่ได้สังเกตความรักอย่างใจจดใจจ่อมากขึ้น

    เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่าเราเป็นคนถามหานิยามเยอะมากๆ ดังนั้นคงไม่ผิดสักเท่าไหร่ที่อย่างน้อยจะพยายามหานิยาม (?) ให้กับมันว่าสุดท้ายแล้วเราต้องการอะไรกันแน่

    วิธีการเขียนบล็อกนี้ก็ประหลาดดี, หลับตาแล้วจินตนาการว่าเรากับคุณจะไปอยู่ตรงไหนของกันและกันในชีวิตบ้าง, ก็กล้าพูดว่าเป็นบล็อกที่ยิ้มตอนเขียนมากที่สุด

    แอพพริชิเอชัน

    ไม่ค่อยอยากไทยคำอังกฤษคำ, แต่ความสัมพันธ์ที่ดีคือความสัมพันธ์ที่เราต่าง appreciate การกระทำของกันและกัน

    การ appreciate ไม่ได้อยู่แค่เราดีใจที่มีคน appreciate เรา, แต่เป็นการที่ได้ appreciate การมีอยู่ของทั้งอีกฝ่าย และทั้งความสัมพันธ์ไปพร้อมๆ กัน

    เรื่องเล็กมากหรือใหญ่มากก็ตามแต่ ถ้าเรายินดีกับการกระทำของอีกคนหนึ่งได้ก็คงจะดีมากๆ–คำขอบคุณและความ appreciate ที่อยากรู้สึกว่ามีให้กันและกัน อาจจะเป็นแค่การดึงมือมาจับ หรือไปจนถึงกระทั่งการสนับสนุนเราทางอารมณ์ในวันที่เราไม่โอเคมากๆ

    เรารู้ตัวว่าเราไม่ใช่คนเห็นค่าตัวเองเท่าที่ควร เราคิดว่าความสัมพันธ์ที่ดีจะทำให้เรา appreciate การมีอยู่ของเรา ทั้งเมื่อเราทำอะไรแล้วเรา appreciate ว่าเราดีใจที่ได้ทำให้คุณ และทั้งเมื่อคุณทำอะไรให้เราแล้วเรา appreciate ว่าเรามีค่าในสายคาคุณนะ

    พูดง่ายๆ คืออยากรู้สึกเหมือนมีคนขอบคุณเรา และอยากรู้สึกเหมือนขอบคุณคนคนนั้นไปพร้อมกันแหละ

    สเปซ, อินทิแมซี, ไทม์

    สเปซมีสองแบบ–สเปซที่มีกัน และสเปซที่ไม่ได้ใช้เวลาด้วยกัน

    สเปซอย่างแรกคงไม่จำเป็นต้องพูดถึงอะไรมาก, การมีกันอยู่ใกล้ๆ มันก็รู้สึกปลอดภัยดี และระยะประชิด (intimacy) มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าคุณยังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปไหน

    สเปซอย่างหลังอาจจะน่ากลัวไปหน่อย, แต่จริงๆ การห่างเพื่อกลับมาเจอกัน อย่างน้อยก็คือการพักผ่อนที่ดีที่จะเก็บความคิดถึงไว้เป็นพลังตอนเจอกันอีกครั้งหนึ่ง และเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ

    ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอด หรือคุยกันตลอดหรอก, เราอยากอยู่ตรงนี้ในเวลาที่คุณต้องการเรา และเราก็อยากให้คุณอยู่ตรงนี้ในเวลาที่เราต้องการคุณเหมือนกัน

    ดีมานด์ และคอมมิตเมนต์

    รักคือการให้โดยไม่หวังอะไร[citation needed]

    จริงๆ แล้วความรักเป็นอะไรที่ถ้าจะ long run ในแง่ของความสัมพันธ์แล้ว ยังไงก็ต้อง mutual ไม่ใช่มีเพียงฝ่ายเดียวให้และฝ่ายเดียวรับ เพราะความสัมพันธ์คือการที่สองฝ่ายตกลงปลงใจที่จะ commit ด้วยกัน

    ฟังดูน่ากลัวไปหน่อย แต่จริงๆ เป็นงี้แหละ–ทุกครั้งที่เราให้อะไร เราก็เหมือนให้ commitment ที่เรามีกับความสัมพันธ์ออกไปด้วยเหมือนกัน วันหนึ่งถ้าให้จนไม่ได้รับ พลังจาก commitment ที่มีในตัวก็คงจะหมด ดังนั้นการรับอะไรกลับมาก็คือการรับ commitment กลับมาเพื่อพลังจะอยู่ต่อในความสัมพันธ์นั้นเหมือนกัน

    ดังนั้นถ้าจะพูดว่ารักคือการ demand มากกว่าการ request ก็คงไม่ผิดนัก เป็นความคาดหวังที่อาจจะรู้สึกว่าความสัมพันธ์มีจุดหมายเพื่อเติมเต็มมากกว่ารู้สึกว่าถ้าเติมเต็มได้ก็คงจะดี

    อนาคตที่มั่นคง

    อืม แค่นั้นแหละ, apply ได้ตั้งแต่วินัยทางการเงิน การวางแผนเวลา จนถึงการวางแผนอนาคตตัวเองนี่แหละ

    อยากเมคชัวร์ว่าถ้าเป็นชีวิตที่เราสองคนมีส่วนทับซ้อนกันมากขึ้นแล้ว มันจะยังคงยั่งยืน


    จริงๆ พอมานั่งเขียนอะไรแบบนี้แล้วอ่านอีกรอบ ก็พบว่าหัวข้อหลักๆ ที่คิดว่าควรมีในความสัมพันธ์ เช่นความเข้าใจ ความเห็นใจ หรืออะไรพวกนี้นี่ แทบไม่ได้หยิบมาพูดถึงเลย แต่อาจจะเป็นเพราะกว่าจะมีอะไรตามหัวข้อที่เขียนๆ มา ก็คงต้องมีหัวข้อหลักๆ ที่รู้สึกว่าควรมีก่อนหมดเลยอยู่แล้ว

    ขอให้เป็นแบบที่หวังแล้วกัน 🙂

  • โอบกอดฉัน

    โอบกอดฉันประหนึ่งโลกทั้งใบของฉันคือคุณ

    ประทับรอยจูบบนหน้าผากฉันประหนึ่งปัญหาทุกอย่างหายไปแล้ว

    ให้น้ำตาของฉันไหลบนบ่าของคุณ ลูบหัวฉันประหนึ่งทุกอย่างจะปลอดภัยเมื่อฉันอยู่ในอ้อมกอดของคุณ

    บอกฉันว่าไม่เป็นอะไรตราบที่คุณอยู่ตรงนี้

    แล้วทุกอณูของร่างกายฉันจะเป็นของคุณ

  • ครึ่งชีวิตของความทรงจำ

    ครึ่งชีวิตของความทรงจำ

    ตั้งใจจะซักกระเป๋าเป้ ถอดพวงกุญแจที่คล้องทั้งหมดออกมา แล้วก็พบว่าทุกชิ้นมีความเหมือนกันอยู่อย่างนึง–ทั้งหมดล้วนมีความทรงจำเกี่ยวกับความรักเก็บไว้

    พอนึกถึงตอนนั้นก็รู้สึกว่าหัวใจตอนที่หยิบพวงกุญแจมาคล้องกับกระเป๋าใหม่ๆ ล้วนแต่เต้นแรงน่าดู, พวงกุญแจบางชิ้นก็อยู่กับเรามานานจนเปลี่ยนกระเป๋าไปสามสี่รอบ บางชิ้นก็คล้องๆ ถอดๆ เหมือนความรู้สึกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา

    ความรักบางครั้งก็จบสวยบ้าง ไม่สวยบ้าง, ไม่รู้ว่าครั้งที่จบสวยนั้นไม่ย้อนกลับไปคิดถึงได้ยังไง ไม่รู้ว่าครั้งที่จบไม่สวยพาตัวเองผ่านน้ำตาและคืนที่ฝนตกมาได้ยังไง
    จริงๆ ใช้คำว่าไม่รู้ก็ไม่น่าจะถูกมากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ผิดเสียทีเดียว, การพาตัวเองเดินไปเรื่อยๆ เป็นเวลานานขึ้นทุกวัน ก็ย่อมทำให้ความทรงจำบางอย่างหายไปตามเวลา จะเรียกว่าความทรงจำมี “ครึ่งชีวิต” ของมัน ที่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วค่อยๆ สลายไปก็ได้นั่นแหละ

    มีคนบอกว่าสักวันหนึ่งพอเรากลับมาดูตัวเองในอดีต เราจะไม่รู้สึกอะไร ไม่รู้สึกทุกข์ ไม่รู้สึกสุข ไม่รู้สึกเศร้า หรือดีใจ หรืออะไรอีกต่อไปแล้ว

    สำหรับตัวเองกับพวกกุญแจสองในสาม วันวันนั้นน่าจะมาถึงแล้วแหละ

  • 2018: ดั่งพระจันทร์ มีข้างขึ้นย่อมมีข้างแรม

    2018: ดั่งพระจันทร์ มีข้างขึ้นย่อมมีข้างแรม

    สองพันสิบแปดคงเป็นปีที่มีอะไรผ่านมาเยอะเหมือนกัน สุขและทุกข์ย่อมปนเปกันไป หลายอย่างยังฝังติดชัดในใจ แต่กระนั้นก็มีหลายอย่างที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้

    ตัวเอง

    ช่างแม่งเหอะพี่… ช่างแม่งบ้าง

    น้องที่ internship คนนึง
    • เรารู้สึกมีหลายอย่างในตัวเองที่เปลี่ยนไป จะบอกว่าโตขึ้นก็ได้มั้ง?
      • ที่บอกว่ารู้สึกตัวเองโตขึ้น คงเพราะเราเกลียดตัวเองมากขึ้น
      • มีคนบอกว่าอย่าโตไปเป็นผู้ใหญ่แบบที่เราเกลียด, แต่ไม่รู้สิ ทำไมเรารู้สึกมีมุมของเราที่ถ้าตัวเองตอนปีสองปีก่อนมาเห็นแล้วจะผิดหวังอยู่ในนั้น
      • การโตขึ้นคือการยอมรับโลกอันเป็นสังคมไม่อุดมคติหรือเปล่า?
        • ถ้าใช่ ความเย็นชาต่อโลกอันไม่อุดมคติ การเข้าสู่สภาวะยอมรับ (acceptance) ก็ใช่สิ่งที่ทำให้เรา “เกลียด” ตัวเองหรือเปล่า?  ความฝันและความเชื่อที่ถูกสภาวะยอมรับดังกล่าวกดทับยังมีอยู่ไหม?
    • เย็นชามากขึ้น ใส่ใจคนอื่นน้อยลง?
      • ปีที่ผ่านมาเหมือนเรียนรู้ที่จะช่างแม่งกับอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น
      • สำหรับเราการเลือกให้น้ำหนักที่จะช่างแม่งหรือเก็บเรื่องของคนอื่น กับการใส่ใจเรื่องของคนอื่น เป็น tradeoffs ที่น่าสนใจ เรามีความทุกข์
        • หรือพอโตไปจะหัดเพิกเฉย (ignore) ต่อเรื่องราวของคนอื่นได้มากขึ้นเอง?
    •  มีนิสัยเสียหลายอย่างที่งอกเงยมา
      • ยังคงใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ปากกาเนี่ยแหละตัวดี
        • ใช้จ่ายได้แหละถ้าบริหารเงินไปออมและลงทุนได้ดีกว่านี้
        • กินแพงขึ้นนี่ไม่อยากนับว่าสุรุ่ยสุร่าย จริงๆ คืออยากกินให้แพงขึ้นด้วยซ้ำ
          • เรามองว่าการกินคือการศึกษาวัฒนธรรม และอยากเข้าถึงความหลากหลายให้มากกว่านี้
            • จริงๆ ที่รู้สึกว่ากินแพงขึ้นเพราะการกระจายเพิ่มขึ้น (กินร้านถูกลง และแพงขึ้นมากตามไป)
    • มีหลายอย่างที่อยากทำแล้วทำได้
      • ได้ไปคอนเสิร์ต BNK48 กับมิ้น ชีวิตนี้คิดว่าคงไม่สามารถลากสังขารไปแบบนี้ได้อีกแล้ว
        • การไปคอนเสิร์ตแบบนี้ ต่อให้แก่แค่ไหนก็แนะนำว่า once in a while, มันคือชีวิตวัยรุ่นสักครั้งของคุณว่ะ
      • ร่วมกับคุณแพคทำไรท์ติ้งอินไทยตั้งแต่เดือนมีนาคม หวังว่าจะได้อะไรใหม่ๆ มากขึ้น (และได้ฝึกเขียนภาษาคนให้รู้เรื่องสักที)
      • นอกจากนั้นแล้วปีนี้ได้หาที่ฝึกงาน, ซื้อกล้องใหม่, กินเยอะเหมือนเดิม, ร้องไห้น้อยลง (นี่ขนาดน้อยลงแล้วนะ!)
    • และมีหลายอย่างที่ทำไม่ได้
      • อ่านหนังสือให้เยอะขึ้น, เล่นมือถือให้น้อยลง
    • มีหลายอย่างที่เพิ่มมา
      • เพื่อนที่สนิทมากขึ้น, บางครั้งก็รู้สึกได้ทำในสิ่งที่อยากทำได้กล้าขึ้น
    • และมีหลายอย่างที่หายไป
      • ถึงจะไม่มีคนโคจรจากชีวิต แต่เหมือนเศษเสี้ยวของตัวเองหล่นหายไปในระหว่างทาง
      • ยังเป็นศิระกรคนเดิมไหม? คนที่กล้าออกไปทำอะไรไหม? คนที่รู้สึกว่าความผิดพลาดมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น? คนที่พร้อม embrace ความหลากหลาย ความแตกต่าง พร้อมเข้าใจในความเป็นไปของหลายๆ สิ่งไหม?
    • สรุปพอมาอ่านแล้วก็เหมือนว่า 2018 เป็นปีที่ชีวิตตัวเองเหมือนจะเลวร้ายลงไปเสียอย่างนั้น
      • แต่ในความเลวร้ายนั้นก็เหมือนมีอะไรที่ยังเป็นเราอยู่ ก็หวังว่าจะสามารถเป็นตัวเองที่อยากเป็นได้มากกว่านี้

    งานและการเรียน

    • ช่วงปีสองพันสิบแปดเป็นปีที่เห็นอนาคตของตัวเองมากขึ้นจนชัดเจน จากเด็กที่สองปีที่แล้วไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหนในชีวิตดี
      • ได้รับโอกาสจากอ.ธีรวิทย์จาก VISTEC ให้ไปฝึกงานที่นั่น (ภายใต้คำแนะนำของอ.ธนาวินท์) ปฏิเสธไม่ได้ว่าการไปฝึกงานครั้งนั้นสร้างจุดเปลี่ยนให้กับชีวิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
        • สังคมที่ VISTEC ดีมาก ดีจนเราคิดถึง เราอยากเก็บความสัมพันธ์และคนที่นั่นไว้อยู่มากทีเดียวเชียว
    • แต่ก็เป็นปีที่มืดบอดและหมดหนทางอย่างบอกไม่ถูก
      • หลังกลับมาจาก internship ที่ VISTEC เราไฟหมด… หมดเพราะอะไรไม่รู้… และตอนนี้ยังจุดติดไม่ได้เท่าเดิม
      • นอกจากลังเลใจว่าควรต่อป.โทดีไหม ก็ยังลังเลใจว่าเราควรต่อป.โทวิศวะคอม หรือต่อบริหารจัดการ
        • เราไม่ปฏิเสธว่างานบริหารไม่ใช่งานที่เราอยากทำที่สุด แต่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าโอกาสเติบโตของคนในสายบริหาร (ทั้งในแง่เงินเดือนและการพบปะผู้คน) สูงกว่าการเป็น dev ชั่วนิรันดร์มากๆ
        • เราไม่เถียงว่า dev มีโอกาสโต, แต่ไม่รู้สิ ความเป็นไปได้มันมีสองอย่าง ไม่ (1) เราทะเยอทะยานกว่าการเป็น dev ที่เก่งมากๆ แล้วจบ ก็ (2) เราไม่เก่งพอ (และอาจไม่มีวันเก่งพอ) จนถึงระดับที่เราไม่เห็นความเป็นไปได้ที่เราจะยืน ณ จุดนั้น?
    • มานั่งนึกถึงเรื่องต่อบริหารทีไร เราอยากกลับไปขอโทษศิระกรสมัยที่เขามาสัมภาษณ์วิศวะเกษตรทุกที

    ความรัก

    • ปีนี้มีความรักครั้งนึงแหละ แต่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปค่อนข้างเร็ว แต่น่าประหลาดใจที่เราคิดว่าปีนี้เราได้เรียนรู้เรื่องความรักจากเรื่องของคนคุยเก่าได้เยอะมากๆ
    • เราเคยตั้งเวลาว่าภายในหนึ่งปีเราจะลืมคนคุยเก่า หลังจากที่มีบางคนทราบเรื่องนี้ เราก็รู้สึกเราได้มุมมองอะไรใหม่ๆ บ้าง

    หนูไม่จำเป็นจะต้องแคร์[เวลา]เลย ไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งตั้งเวลาให้ตัวเอง ถ้าวันนึงหนูเจอคนที่หนูรอจริงๆ จะปฏิเสธเค้าเพียงเพราะไม่ถึงเวลาที่หนูตั้งไว้เหรอ

    พี่ไอซ์

    แต่ผมเชื่อว่าสุดท้ายความรักก็สวยงามเสมอ

    อาจารย์บุ๊ง
    • พอหัดก้าวผ่านอดีต ก็จะรู้จักหัดก้าวเดินไปต่อ, ก็เหมือนจะมีความกล้าออกไปตามหาความรักอยู่ช่วงนึง
      • โหลด Tinder มาเล่น ถึงจะไม่เวิร์คก็ตาม 5555555
    • แน่นอนว่าการลืมคนคุยเก่า (ที่ไม่ยอมออกจากหัวเรามาปีกว่าๆ) ไม่ใช่เรื่องง่าย
      • เพิ่งมารู้สึกว่าใกล้แล้วแหละก็ตอนที่เดินเล่นวันคริสต์มาสแล้วไม่ร้องไห้
    • การเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทรงจำเป็นเรื่องที่ยากที่สุด แต่ถ้าทำได้จะรู้สึกว่าหลายอย่างง่ายขึ้นมากๆ
      • พูดถึงตรงนี้แล้วคิดถึงแฟนเก่า — แฟนเก่าเป็นคนที่เรารู้แล้วแหละว่าเราจะเก็บภาพเค้าไว้ในใจยังไงให้เรานึกถึงมันแล้วคิดถึงเค้ามากที่สุดโดยที่เราไม่ต้องไปยึดติดกับอดีต
      • ก็กำลังจะรู้สึกแบบนั้นกับคนคุยเก่าเหมือนกัน
    • สรุปแล้วก็เป็นปีที่กลับมาเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้ง ตรงนี้คงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของปีนี้แล้วมั้ง

    มึงจะได้เชื่อสักทีว่ามึงก้าวต่อได้แล้ว

    รวิส

    พี่เชื่อว่าแกจะได้เจอคนที่ดี

    พี่น้ำเงิน
    • เรื่องความรักนี่ ถึงจะยังไม่มีใคร แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดของปีนี้แล้วมั้ง 🙂

    เพื่อน

    เสียดายไม่มีรูปสิบเอ็ดคน, แต่ดีใจที่ได้สนิทกันมากขึ้น และคิดว่าคงไม่ต้องเขียนบรรยายอะไรให้มากความเนอะ ดึ๋ง!

    มองไปข้างหน้า

    ได้เวลาเขียน 2019 Life Goals

    • ฝึกงานต่างประเทศ
      เป็นข้อที่น่าจะทำได้ยากที่สุดเพราะถึงเงินที่บ้านจะมี แต่ก็ไม่ได้เอื้ออำนวยขนาดนั้น (ญี่ปุ่นน่าจะไปได้แบบชิลๆ แต่อยากไปฝรั่งเศส…)
    • มีแฟน
      เป็นปีแรกที่เขียนโกลแบบนี้ เพราะกลัวไวน์ที่พี่น้ำเงิน (จาก VISTEC) ให้มาพร้อมเจาะจงว่า “เปิดเฉพาะเมื่อมีแฟน” จะหมดอายุเสียก่อน (เปล่าหรอก อยู่คนเดียวเหงาเกินไปแล้วน่ะ)
    • อ่านหนังสือเดือนละสองเล่ม
      หยวนให้เป็นเดือนละเล่มถ้าหนังสือหนา
    • นอนวันละเจ็ดชั่วโมงขึ้นไป
    • วิ่งสัปดาห์ละสองวัน

    Thanks

    เลือกที่จะเขียนตรงนี้ไว้ในเฟซบุ๊คเพราะอยากแท็กหลายๆ คนมากกว่า ขอแปะลิงก์ไปตรงนั้นแล้วกันนะครับ

    แต่อย่างไรก็ตาม ขอบคุณทุกท่านที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอีกครั้ง และหวังว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ดีของทุกท่านเช่นกันครับ