Category: Life
-
สองพันสิบเจ็ด: แด่เรื่องราวมากมาย
ภาพประกอบถ่ายวันที่ 27 ธันวาคม 2560 — ฝนตกระดับที่น่าเดินตาก อากาศเย็นระดับที่น่าเดินเล่น เป็นวันที่มีความสุขแค่ได้เดินโง่ๆ
สองพันสิบเจ็ดเป็นปีที่ซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเราจะเปรียบมันเป็นเพลง เราอยากเปรียบมันเป็น Dadaville ของ Garry Carpenter
ตัวเอง
- ภาระปีสองเยอะกว่าที่คิด รู้สึกอยากผ่านมันไปให้ได้แบบสวยๆ
- รู้ว่ายาก และแบกภาระความกดดันมากขึ้นด้วย
- พบว่างานบางงานที่ตั้งใจทำแล้วทำสนุก จะจริงจังจนลืมงานที่ไม่อยากทำ
- ความสนุกเป็น factor ที่สำคัญ
- และกับงานเหล่านี้ถ้าออกมาผิดหวัง เราไม่ลังเลที่จะร้องไห้ แม้แต่กับ factor ที่คุมไม่ได้
- เราอยากให้งานที่เราอยากทำจริงๆ ออกมาดีอ่ะแหละ
- เป็นปีที่ติสต์ขึ้น ฟังเพลงเยอะขึ้น เข้าหอศิลป์บ่อยขึ้น
- อยากไป Louvre, อยากไปดูงานของ Claude Monet
- พฤติกรรมในชีวิตหลายอย่างเปลี่ยนไป มีทั้งแง่ดีและไม่ดี
- กินแพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- อันนี้เป็นผลมาจาก Gastronomy Trip ปลายปี 2016
- กินหลากหลายขึ้น เพราะพยายามลองอาหารหลากหลาย palette ตอนนี้กำลังจะมาหยุดอยู่กับอาหารไทย
- มีโอกาสทำเพจเกาะกันกิน เขียนเล่นๆ แต่เขียนแต่ละทีจริงจังกับการรีวิว เรารู้สึกว่าการถ่ายทอด perception/attitude ต่ออาหารของเราหนึ่งจานออกมาเป็นคำนี่ค่อนข้างยากนะ
- นอกจากนั้นยังดื่มชาหนักขึ้นมากๆ (ปกติไม่เรื่องมาก — Lipton Yellow Label คือจบ ส่วนตอนนี้กำลังหาวันว่างๆ ไป Ronnefeldt 5555555)
- ไม่ใช่ว่าปีหน้าจะกินให้น้อยลง แต่เป็นกินให้เยอะขึ้น ทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ ราคาที่ต้องจ่ายอาจจะสูงแต่เราเชื่อว่าเราจะสามารถยกระดับลิ้นของตัวเองให้กลายเป็นคน “กินเป็น” ไม่ใช่คน “เป็นแต่กิน”
- อ่านหนังสืออีกครั้ง
- เป็นผลพลอยได้จากการที่มีคนเข้ามาในชีวิตช่วงกลางปี
- ตั้งใจจะอ่านให้มากขึ้นอีก ใน field ที่หลากหลายมากขึ้นอีก ในขณะเดียวกันกับสายอาชีพตัวเองก็จะต้องหลักและลึกขึ้นอีก
- นั่นหมายถึงงานปริมาณมหาศาล
- ทุกวันนี้ก็เสพการอ่านอยู่นะ แค่ไม่ได้อยู่ในรูปของหนังสือ (เป็น Social network stream แทน) ก็หวังว่าจะ “เปลี่ยน” มาอ่านหนังสือได้เยอะกว่านี้
- ขายของ: My Reading List เจอหนังสือน่าสนใจมาชวนอ่านได้จ้า
- กินแพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- ร้องไห้บ่อยขึ้นในเรื่องเดิมๆ ช่วงมาถี่คือถี่ทุกว้น ช่วงไม่ถี่คือเดือนละครั้งสองครั้ง
- หลายครั้งอยากร้องไห้ออกมาดื้อๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แค่อยากร้องไห้
การงาน
- การงานปลายปีหนึ่งไม่มีอะไรเปลี่ยนสักเท่าไหร่ เรื่องเดียวที่ควรพูดคือเกรดเทอมที่แล้วทำได้เลวร้ายมาก
- ปีสองเทอมหนึ่งเกรดออกก่อนสิ้นปีพอดี! ทำได้ดี แต่ยังดีไม่สุด ตัวที่หวังไว้สองตัวคือ ADT และ Discrete ก็ทำได้เกินความคาดหมาย บวกกับวิชายิบย่อยแล้วเทอมนี้เอา A ไปเก้าหน่วยกิต 🙂
- งานที่ทำแล้วสนุกจริงๆ คือทำทีเอ เป็นประสบการณ์ในชีวิตที่ค่อนข้างอยากพูด
- เรารู้กันดีว่าเด็กจำนวนมากเข้าวิศวะคอมมาเพราะเห็นเป็นสายงานที่เงินดี ต้องการเยอะ เด็กจำนวนมากจับคอมเขียนรายงานตัดวิดีโอแล้วก็คิดว่าตัวเองสามารถเรียนสายนี้ได้ คำถามคือเราจะปลูกฝัง passion และความสนุกที่มีให้กับเด็กกลุ่มนี้ได้ยังไง
- สำหรับเรางานทีเอคืองานสอน ออกแล็บชีทนั่นแค่ติ่งเดียวที่อยากทำ
- แต่สอนในที่นี้ไม่ใช่สอนเขียนโปรแกรม อันนั้นคือสิ่งที่อาจารย์ทำ
- สิ่งที่เราอยากสอนคือ systematic thinking และสอนให้เชื่อมั่นในตัวเอง
- คำถามเดียวที่ถามตัวเองทุกครั้งก่อนไปเจอน้องๆ คือ “เราจะทำให้น้องมั่นใจในตัวเองได้ยังไงดี”
- เป็นคำถามที่ง่ายและคำถามที่ยาก เราเริ่มจากการตอบน้องว่า “ทำดีครับ” สำหรับทุกคำตอบจากคำถามที่เราถาม
- “แล็บชีทถึงไหนแล้ว” “เสร็จแล้วครับ” “เยี่ยม ทำดีครับ”
- “แล็บชีทถึงไหนแล้ว” “ยังไม่ได้เริ่มค่ะ” “เยี่ยม ทำดีครับ (แปลว่าทำอย่างอื่นอยู่ แบ่งเวลาดีๆ นะ)”
- เราได้แรงบันดาลใจมาจากคลาสนึงที่ยุโรป เด็กเขียนคำว่า purple เป็น purpol สื่งที่ครูบอกเด็กคือ “ถูก เขียนแบบนั้นก็อ่านว่าเพอร์เพิล แต่น่าเสียดายที่คนเมื่อก่อนตกลงกันไว้แล้วว่าจะเขียนว่า purple และครูขอโทษที่ช่วยอะไรหนูไม่ได้เลย”
- เจ๋งมาก เด็กก็รู้ว่าต้องเขียน purple แต่ความมั่นใจไม่หายอ่ะ
- เป็นคำถามที่ง่ายและคำถามที่ยาก เราเริ่มจากการตอบน้องว่า “ทำดีครับ” สำหรับทุกคำตอบจากคำถามที่เราถาม
- เราได้แต่หวังว่าการทำแบบนี้จะเสริมให้น้องกล้าทำอะไรมากขึ้น ก็หวังว่าในอะไรหลายๆ อย่าง เราจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้าง ecosystem ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ที่ดีได้
- สภาพสังคมไม่ใช่อะไรที่สร้างได้ในวันเดียว แต่เราหวังว่าเราจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมัน ทั้งจากตอนทำทีเอ และตอนอื่น
เพื่อน
- เรา bullshit น้อยกว่าปีก่อนมาก ขอบคุณความเป็นเหตุเป็นผลที่เพิ่มขึ้น ขอบคุณตัวเองที่โตขึ้นบ้าง
- ขอบคุณเพื่อนทุกคนที่อยู่ด้วยกันอยู่ ขอบคุณที่ช่วยให้ผ่านหลายๆ อย่างไปได้
- คือเขียนสั้นอ่ะ แต่ขอบคุณจริงๆ ทุกครั้งที่ยื่นทิชชู่ ทุกครั้งที่โอบไหล่ ทุกครั้งที่เราขอบีบมือ ทุกครั้งที่เมสเสจไปหา
- คิดถึงเพื่อนที่สาธิตนะ
หัวใจ
- มีเหตุการณ์ที่ทำให้หัวใจเต้นถึงสองครั้งในรอบปี นับว่าเยอะมาก
- ครั้งแรกเป็นฝ่ายอยู่เงียบๆ แล้วเค้าบอกชอบเอง
- เราจะถือว่าเราเขียนให้เธออ่านอยู่แล้วกัน
- เป็นประสบการณ์ที่วิเศษมาก เราคุยกันได้ในเรื่องที่เราอยากคุย ศิลปะ สังคม วัฒนธรรม ปรัชญา หนังสือ
- เราร้องไห้ เราดีใจมากที่เราเจอคนแบบนี้ ในฐานะเนิร์ดที่เก็บตัวอยู่กับอะไรก็ไม่รู้ เราดีใจที่ได้เจอเนิร์ดเหมือนกัน ถึงเราจะร้องไห้เหมือนกันเพราะเรารู้สึกว่าเธอควรจะเจอคนที่ดีกว่าเรา แต่เราไม่อยากเสียเธอไป
- วันที่เราไปเดทกัน เราคุยอะไรหลายๆ อย่าง เราเดินคิโนะคุนิยะ เธอชี้หนังสือพ่อรวยสอนลูก เราแซ็วว่าโรเบิร์ตล้มละลายไปแล้วนะ เราเดินดูหนังสือ เธอช่วยเราเลือกหนังสือ มันคือเดทในฝันเลยแหละ
- เธอทำให้เราได้กลับมาอ่านหนังสืออีกรอบ ขอบคุณมากนะ บล็อกรีวิวหนังสือทั้งหลายคงจะไม่มีถ้าเราไม่เคยคุยกัน
- เรายังไปบันไดเลื่อนตรงนั้นที่สนามกีฬาฯ เรายังคิดถึงเสียงของเธอ และไม่ใช่แค่เสียงหรอก เราคิดถึงเธอ ทุกอย่างที่เป็นเธอ
- แม้เราจะจากกันไม่ดีเท่าไหร่ แต่ภาพที่เราเก็บถึงเธอเป็นภาพที่อบอุ่น ขอบคุณที่ครั้งนึงเคยรู้จักกันนะ เราดีใจที่เคยรู้จักเธอ
- และถ้าเธอเห็น Faulkner เล่มนั้นบนชั้น เราอยากให้เธอนึกถึงเราในฐานะเพื่อนคนนึงนะ
- ครั้งที่สองเป็นความชอบที่เราเป็นฝ่ายรู้สึกเอง
- เรา admire คนที่เก่ง ชอบคนที่ร่าเริง และอยากอยู่กับคนที่จิตใจดี
- คนที่เราชอบเป็นคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเค้าเก่ง มีความมุ่งมั่น เราพยายามหาทางสนับสนุนเค้าอยู่บ้าง
- จนวันที่มีโอกาสได้คุยกัน เราพบว่าในวันที่เราเหนื่อยและเครียด เค้าทำให้เรามีพลังอีกครั้ง
- คนอีกแบบที่เราอยากอยู่ด้วยคือคนที่พร้อมเติมไฟให้กัน วันไหนคุณหมดไฟเราเติมให้คุณ วันไหนเราหมดไฟคุณมาเติมให้เราบ้าง
- เราพบว่าการที่คนคนนึงจะมีพลังบวก และความสดใสได้ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย (อย่างน้อยก็ในมุมของเรา) และเราอยากทำยังไงก็ได้ให้เค้าสามารถรักษาพลังนี้ไว้ได้เรื่อยๆ
- เราตัดสินใจบอกชอบเพราะเราอยากขอบคุณที่เติมพลังให้กัน เราไม่อยากคิดว่ามันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ เราแค่อยากบอกว่าขอบคุณที่ครั้งนึงเปลี่ยนเราได้ เรายิ้มเก่งขึ้นมาก
- นี่คือรักครั้งแรกที่เราไม่ร้องไห้ในความรัก ทุกครั้งที่ผ่านมาเราร้องไห้ เราชอบคนที่เกินเอื้อม เราชอบคนที่เป็นไปไม่ได้ แต่กับครั้งนี้ที่รู้สึกชอบ มันมีแต่รอยยิ้ม ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าความสบายใจจริงๆ มันเป็นยังไง
- และการที่เราชอบใครสักคนก็เหมือนกับชอบดอกไม้ริมทาง จะตัดมาปักแจกันตัวเองก็ได้ หรือขอดูดอกไม้ค่อยๆ เติบโตห่างๆ ก็ได้
- ซึ่งเราขอเลือกแบบหลัง
- สรุปแล้วทั้งสองครั้ง แม้เราจะไม่ได้ “เป็นแฟน” เลย แต่สำหรับเรามัน worthwhile มากๆ เรื่องเป็นแฟนมันไม่สำคัญแล้ว
- ถึงกระนั้นก็ยังคงรอวันที่จะมีใครพร้อมหยุดอยู่กับเราอย่างใจจดใจจ่อ 🙂
2017 Resolution: A Better World
เรารู้สึกเหมือนสิ่งที่เราทำเป็นแค่น้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร แต่อย่าลืมว่ามหาสมุทรจะไม่เหมือนเดิมถ้าขาดน้ำหยดนั้น
แม่ชีเทเรซ่าเราตั้งปณิธานไว้ในปี 2016 ว่าอยากสร้างโลกที่ดีขึ้นในปีนี้
เราบริจาคเงินเข้าองค์กรการกุศลบ้าง (ไม่บ่อย และช่วงหลังมาไม่ได้บริจาคละ) พยายามแคร์และเข้าใจความรู้สึกคนรอบตัวมากขึ้น (ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่ได้ทำนะ) คิดว่าโลกที่มีเรากับไม่มีเราน่าจะต่างกันอยู่มั้ง
มิตรสหายหลายๆ ท่านมาปรึกษาปัญหาชีวิตด้วย ไม่ใช่คนที่ให้คำตอบกับทุกคำถาม หรือแนะนำได้ทุกเรื่อง แต่ลึกๆ แล้วดีใจมากที่เราเป็น trusted zone ของใครหลายๆ คน
2018 Resolution
- Mini Project (ทำ TransitTH ให้เสร็จ)
- เรียน ML ให้ครบแบบเอาไปใช้จริงๆ ได้
- อ่านหนังสือให้เยอะขึ้น ดูหนังให้เยอะขึ้น
- ทำให้โลกนี้ และคนรอบข้างดีขึ้นต่อไป
- อยากเห็นทุกคนมีความสุข 🙂
Thanks
หลายคนน่าจะรู้สึกแปลกใจที่ท่อน Thanks ยาวกว่าท่อนอื่น เรารู้สึกคำขอบคุณคือวิธีแสดงความเคารพต่อคนที่เรารู้จักได้ดีที่สุด
- ขอบคุณหอศิลป์กรุงเทพ, สำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, วงดุริยางค์ฟิลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย, วงดุริยางค์ซิมโฟนีกรุงเทพ, BBC Symphony Orchestra ที่เป็นแหล่งพักพิงยามเราย่ำแย่ ดนตรีและงานศิลป์ช่วยเราได้มากๆ จริงๆ
- ขอบคุณสยามพารากอน เซนทรัลเวิล์ด ช็อปทไวนิงส์ คิโนะคุนิยะ หอศิลป์กรุงเทพ บีทีเอสสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ห้อง 201 เก้าอี้ตรงนั้นในร้านแซม และม้านั่งตึกภาคสองตัวนั้น ที่เป็นที่สร้างความทรงจำหลายๆ อย่าง
- ขอบคุณอาจารย์ CPE ทุกท่านที่ให้ความเอื้ออารีในหลายๆ ด้าน หวังว่าจะได้ทำงานกับอาจารย์เจ๋งๆ เยอะๆ นะครับ 😀
- ขอบคุณเฌอปราง (และหลายๆ คน) สำหรับ passion ว่าถ้าตั้งใจทำอะไรก็จะทำได้จริงๆ
- ขอบคุณ CPE31 เป็นการพิเศษ พี่ไม่ได้มาสอนเราอย่างเดียว พี่มาเรียนรู้จากเราด้วย และพี่ได้เรียนไปเยอะมากๆ เลย
- ขอบคุณเพื่อนหลายๆ คน
- มิตรสหายในโซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งหลาย
- ขอบคุณที่ยังมีมิตรจิตรอันดีและเกื้อกูลกันมาโดยตลอดครับ
- ห่างหายไปบ้าง หวังว่าจะยังได้ keep in touch กับทุกคนอยู่นะครับ
- เพื่อนที่สาธิต
- เพื่อนที่สาธิตหลายๆ คนที่ยังติดต่อกัน ขอบคุณที่ยังมีมิตรจิตอันดีเสมอมา
- พี่หมอทั้งหลายที่เคยคุยด้วยบ่อยๆ ถึงจะห่างหายเพราะยุ่งๆ กัน แต่คิดถึงนะ
- แคตช์มีอิฟยูแคน ขอบคุณสำหรับที่ปล่อย dark memes นะครับ
- เพื่อนที่ภาค
- ขอบคุณ CPE ทุกคนสำหรับงานหลายๆ งาน ฟัคอัพไปบ้างก็ขออภัย
- กลุ่มที่อยู่ด้วยกันบ่อยๆ — อ้น เบนซ์ มอร์แกน ไข่ ขอบคุณมาก ฟัคอัพไปบ้างก็ขออภัย รักพวกมึงทุกคน
- เพื่อนทั้งหลายที่เราสนิทใจมากพอปล่อยมาเพ่นพ่านในแอคลับทั้งหลาย — ขอบคุณที่เป็นโซนอุ่นๆ ให้กันอยู่ตลอด รู้จักเรามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ
- แก เออ แกนั่นแหละ
- ยกให้พารากราฟนึงเลยโว้ยยยย ยาวกว่าชาวบ้านด้วยโว้ยยยย
- แก MVP เราทั้งปีนี้เลย ไม่รู้ควรจะขอบคุณแบบไหนว่ะ
- พิมพ์มาทั้งหน้าทั้งเรื่องความรักเรื่องนอยด์ไม่น้ำตาซึมนะ มาซึมตรงนี้ว่ะ
- ขอบคุณ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงถึงจะพอว่ะ ถถถถถถถถถถ
- (เขียนไม่ถูกจนต้องทักหลังไมค์ไปหา เผื่อจะเขียนง่ายขึ้น ไปย้อนอ่านเองแล้วกันนะ)
- ปีหน้าฝากด้วยนะ จะบอกแบบนี้ทุกปี
- ดีใจเสมอที่วันนั้นตัดสินใจเดินไปทัก 🙂
- มิตรสหายในโซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งหลาย
- ขอบคุณคนทั้งสองคนที่ทำให้เราใจเต้น
- ถึงคนแรก: เราไม่คิดว่าเธอจะอ่านแหละ แต่ถ้าเธออ่าน ขอบคุณมาก เราคงอยู่ห่างออกจากกันไปมากขึ้นเรื่อยๆ ขอให้เธอมีความสุขในที่ตรงนั้นของเธอ 🙂
- ถึงคนที่สอง: หวังว่าจะอ่าน Me Before You จบนะ จงใจเลือกเล่มนั้นเพราะตอนจบเลย 🙂 คนที่อยากเห็นทุกคนมีความสุขคือคนที่สมควรได้รับความสุขที่สุดแล้วจริงๆ ขอบคุณสำหรับความสุขที่ให้มานะ
- บอกทั้งสองคนอีกรอบ: น่าจะรู้กันเนอะว่าเราไม่ชอบพิมพ์หน้า 🙂 ยกเว้นจะยิ้มจริงๆ อยากให้รู้ว่าทำให้เรายิ้มอยู่นะ
- ขอบคุณพ่อแม่ ห่างจากบ้านขึ้นเยอะเรื่อยๆ แต่บ้านก็เป็นที่อุ่นใจเสมอ 🙂
ขอบคุณทุกอย่างที่ประกอบรวมกันเป็น 2017
ขอให้ 2018 เป็นปีที่ดี 🙂 - ภาระปีสองเยอะกว่าที่คิด รู้สึกอยากผ่านมันไปให้ได้แบบสวยๆ
-
เธอชอบฝน
“ขอร่มหน่อย”
เขาแปลกใจ หยิบร่มคันนึงกางคู่กับเธอ“เธอ”
“หืม?”
“ทำไมถึงขอร่มล่ะ ปกติเธอชอบฝนไม่ใช่เหรอ”
“อื้ม แต่วันนี้อากาศเย็นนี่นา เราชอบเวลาฝนตกแล้วแดดไม่เผา”
“แล้วเธอบอกว่าเธอชอบฝน เธอไม่อยากอยู่กับมันแล้วเหรอ”
“การที่ชอบกันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องอยู่กับสิ่งนั้นตลอดป่ะ”
“อืม ก็จริง แต่ถ้าวันนึงไม่มีแดด ไม่มีอากาศร้อน เธอจะยังชอบฝนอยู่ไหม”เสียงฝนตกเบาๆ คือสิ่งที่เขาได้ยิน
“ถ้าวันนึงมีแต่อากาศเย็น เธอจะชอบอากาศเย็น หรือชอบฝน?”
เธอเงียบ
เขาเงียบ
เสียงฝนตกฟังชัดขึ้นยามทุกอย่างเงียบสนิท…
เธอชอบฝน หรือเธอแค่ชอบใครก็ได้ที่ทำให้เธอเย็นในวันที่แดดเผา?
-
Barcamp Bangkhen 8
The Rules of Barcamp ข้อที่สองบอกไว้ว่า “You do blog about Barcamp” ดังนั้นจบงานเลยมาทำตามกฏ
- เรานกบาร์แคมป์ทุกปี ตั้งแต่ม.4-5 ที่บ้านไกล มาไม่ได้ ม.6 ที่มีน้องมาแลกเปลี่ยน ไม่ว่างวันงาน ปีหนึ่งว่าจะไม่นกแน่ๆ ก็ปรากฏว่ามีไปฮ่องกง
- พูดง่ายๆ คือถึงจะตามมาตลอด แต่มาบาร์แคมป์จริงก็มาเป็น staff เลย XDพอดี
- ถึงกระนั้นก็เป็น staff ที่เหมือน participators มากกว่า คือนั่งฟังเยอะมากเพราะงานจริงๆ ตัวเองเสร็จตั้งแต่ก่อนวันงานเสียมากแล้ว
- วันก่อนมางานนี้ไป Govcamp ที่ทาง Thai Netizen Network จัดไว้มา ประเด็นที่น่าสนใจแต่ไม่ถูกหยิบมาพูดคือ Net Neutrality เราก็เลยตัดสินใจว่าเอาวะ พรุ่งนี้งานใหญ่ มาพูดเรื่องนี้ดีกว่า
- หนึ่งคืนในการ research เรื่องนี้ก็ยากพอสมควร เราพยายามเก็บ aspects ของประเด็นนี้จากหลายมุมมองให้ได้มากที่สุด
- มองจากคนที่ไม่เคยมางานแล้ว บางแคมป์ปีนี้จัดดีกว่าทุกปีมากๆ มีการแบ่งเรื่อง session หรืออะไรค่อนข้างดี ไม่มีปั๊มโหวต ไม่มีเทโหวต
- เราตัดสินใจพูด Net Neutrality ตอนเช้า เพราะเราโชคดีที่ได้คุณแพค (nrad6949) มาช่วยดูเนื้อหาให้ เป็นความโชคดีมากๆ ที่มีคนทำวิจัยเรื่องนี้พอดี
และต่อไปนี้คือรีวิว sessions ช่วงเช้าที่เราเข้าฟัง
หมูแดง
(โดย nrad6949 เจ้าของเดียวกับหมูกรอบในตำนาน)
#bcbk8
เซสชั่น #หมูแดง เนื้อหาละเอียดมากก pic.twitter.com/PIIji24eKi— Thai Pangsakulyanont (@dtinth) November 26, 2017
- จากคนที่ไปฮ่องกงกับคุณแพค เรากล้าพูดได้เลยว่าหมูแดงแบบไทยมันห่วยแตก คุณแพคสามารถเล่าและอธิบายความเป็น #หมูแดง #ที่ดี ได้ เกริ่นตั้งแต่หมูแดงต้นตำรับ และการกลายพันธ์ของหมูแดงในไทย
- เสียดายที่ไม่มีหมูแดงมาให้ลองทาน 😛 แต่อย่างน้อยก็ได้วาร์ป
Blogger ไม่ใช่อาชีพ! มายาคติความเป็นอาชีพของ Blogger
(โดย nrad6949 เจ้าของเดียวกับหมูแดงในตำนาน (อีกแล้ว))
- คุณแพคเสนอแนวคิดว่าบล็อกเกอร์ไม่ใช่อาชีพ
- สิ่งที่บล็อกเกอร์ขาดในความเป็นอาชีพด้วยมุมมองทางสังคมวิทยาผ่านทฤษฎีที่หลากหลาย (เช่นของเวเบอร์) คือบล็อกเกอร์ไม่มี code of conduct, ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ, และไม่มี career path ที่ชัดเจน
- ใครก็เป็นบล็อกเกอร์ได้ กดเปิดบล็อกก็แป๊บเดียว และเอาเข้าจริงเฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์ก็เป็น microblogging service
- ดังนั้น pride ของบล็อกเกอร์ในฐานะ profession เป็นหนึ่งในความเข้าใจที่ผิด บล็อกเกอร์จะไม่มีวันเทียบได้กับนักข่าว (journalism) ที่ผ่านการเรียนรู้ และมีการรับรองในศาสตร์ของ investigative journalism
Net Neutrality: A Very Short Introduction
(เราพูดเอง)
@srakrn พูดดีมาก #NetNeutrality 101 #bcbk8pic.twitter.com/pBgbTdM0u0
— m-kins☆ (@justmota) November 26, 2017
- Net Neutrality เป็นเรื่องที่ใหม่ เรานั่งตบตีกันกับการบล็อกบิท แต่เราไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันจริงๆ จังๆ
- อินเทอร์เน็ตในอุดมคติควรเป็นเครือข่ายแบบ dumb pipe เหมือนท่อน้ำบ้านเรา — ท่อน้ำประปาไม่เคยแคร์ว่าเราจะเอาน้ำไปทำอะไร มันไม่เคยแคร์ว่าเราผลาญน้ำคนอื่นเพราะเราเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำ เทียบกับคนที่อาบฝักบัว
- แต่อินเทอร์เน็ตไม่ใช่แบบนั้น เราแคร์ว่าคนโหลดบิทควรได้รับ priority ที่ต่ำกว่าชาวบ้าน
- การเลือกปฏิบัติกับข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการบล็อก การบีบให้ข้อมูลช้า หรือการปล่อยให้ข้อมูลเร็ว เป็นการเลือกปฏิบัติที่ชัดเจน และละเมิดหลักของ Net Neutrality
- การเลือกปฏิบัติมักพบได้สองแบบ คือเลือกปฏิบัติกับโปรโตคอล (เช่นการบล็อกบิท) และการเลือกปฏิบัติกับแหล่งข้อมูล
- กรณีหลังน่าสนใจ — Comcast หนึ่งในผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ท บีบให้ traffic ของ Netflix ช้าลง ภายหลัง Netflix ต้องยอมจ่ายเงิน เหตุการณ์นี้เป็นการละเมิดหลัก Net Neutrality อย่างร้ายแรง
- การบังคับใช้ Net Neutrality ไม่ใช่เรื่องง่าย ความพยายามของสหรัฐอเมริกากินเวลาไม่ต่ำกว่าห้าปี ผ่านการออกประกาศ แก้กฏหมาย และการฟ้องร้องมาเยอะ
- Net Neutrality มีราคาที่ต้องแลกมา บริการไม่เสียค่าใช้จ่ายหลายอย่างเช่น Facebook Basics, Wikipedia Zero ขัดหลักนี้ชัดเจน แต่การปิดบริการเหล่านี้กำลังทำให้อินเทอร์เน็ตในระดับพื้นฐานเข้าถึงคนได้ยากขึ้น
- คุณแพคมาช่วยเสริมว่ากรณีที่น่าสนใจในไทยคือ LINE Mobile ที่กสทช.ออกมาชี้ว่าขัดหลักชัดเจน
- คนพูดได้ของขวัญเป็นเสื้อสตาฟ (สีส้ม) หนึ่งตัว กระบอกใส่น้ำ พวงกุญแจ และถุงผ้า (เสื้อฟ้าไม่เกี่ยว)
- ชอบนะ เล็กๆ น้อยแต่น่ารักมาก ถุงผ้าตรงหนังดูดีมาาาก 😀
ต่อไปก็เป็น session บ่าย
ผมจะเล่าถึงความทรมานของคนที่เคยเป็นไข้เลือดออกให้คุณฟัง
(โดยพี่บี้ @dotnfo)
- เป็น session ที่ไม่มีสไลด์ พูดเนิบๆ เหมือนกับเลกเชอร์ในห้องเรียน แต่กับเรามีความหมายมาก
- เหตุการณ์นี้ทำให้เรา flashback ไปถึงคนในครอบครัวที่ป่วยคล้ายๆ กัน
- ชีวิตอ่ะไม่ได้แน่นอนเสมอ และยุงน่ะตบไปเถอะ
ประสบการณ์งานจับมือ >///<
(โดย CPE48 — ก็รวมเราด้วยแหละ)
- ทีม CPE48 ก็ทีมจัดงาน BCBK ตัวหลักๆ นี่ละ ถถถถถถถถ
- ก่อนเริ่มจริงๆ จังๆ เราบอกว่าห้ามพูดถึงไอดอลวงอื่นรวมเกินสามครั้ง ใครพูดครั้งที่สี่ไล่ออกจากห้องทันที ก่อนจะยื่นไมค์ให้พี่สองคนพูดคำว่า Sweat16! และเราพูดคำว่า Sweat16! อีกครั้งนึงทันที
- นั่นหมายถึงต่อไปนี้ใครพูด โดนเตะ ;P
- ก็ไม่มีอะไรมาก เล่าประสบการณ์โดนตกกันไป
- นับถือใจใครสักคนที่พกแท่งไฟมาครับ XD
การปฏิรูปรถเมล์ในยุค 4.0
(โดย wissarut106)
- เพิ่งรู้ว่าเรายังไม่เลิกอีรถเมล์สาย Y ที่สีน่าเกลียดๆ
- เพิ่งรู้ว่าค่าระบบ GPS บนรถเมล์นั่น 70 บาทต่อคันต่อวัน
- สองข้อนี้ก็พอแล้วกับการเปิดโลกรถเมล์ แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ สไลด์เขียนไว้ได้ครบมาก
- มีการปิดท้ายด้วยการเอา KFC มา ft. กับรถเมล์ โอตะนี่อยู่ทุกที่จริงๆ 😛
ทำไมถึงเลิกเขียน Blognone
(โดย Be1con)
- ผมเชื่อว่าถ้าจะเถียงเรื่องประเด็นระหว่างบุคคล ควรมีที่ให้อีกฝ่ายโต้กลับได้เหมือนกัน
พักเบรคบ่าย ขนมมันเทพมาก ทอฟฟี่เค้กกับพายแฮมมันบดนี่เทพจริง หลังเบรคจบผมซัดพายแฮมต่อไปอีกชิ้นนึง
1 ปี Kubernetes ที่วงใน <Rerun from GDG Cloud Bangkok>
(โดยพี่วิน @awkwin)
- ผมหลับ
จีบคุณหมอยังไงให้ติดภายใน 1 เดือน
(โดยพี่บี้ @dotnfo)
- เอาเข้าจริงหมอไม่ใช่อาชีพที่สูงส่งขนาดนั้น หมอหลายคนอยากได้ผู้ชายธรรมดาๆ ไม่ใช่หมอด้วยกันเอง มานั่งคุยเรื่อง clinic conditions/ethics ด้วยกันคงไม่สนุก
- “การออกไปตามหาใครสักคนแล้วพร้อมที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผมว่านี่คือความสุขของชีวิตนะ”
DIY Blockchain ไม่มีตังแต่อยากทำ Blockchain
(โดย @unnawut)
- หาเรื่องรายละเอียดการทำ blockchain ไม่เจอ เดี๋ยวจะมาเขียน
- ที่ชอบมากๆ เลยคือสองข้อ
- Blockchain !== Cryptocurrency ไม่ใช่ว่าทำ Blockchain ต้องเอามาทำเงิน เงิน และเงิน
- Blockchain ไม่ใช่น้ำหมักป้าเช็ง การทำงานของมันทำให้แก้ปัญหาได้หลายอย่าง แต่ไม่จำเป็นต้อง implement ทุกอย่างที่มันแก้ปัญหาได้ทั้งหมดก็ได้
- อยากทำการโอนเงินในธนาคาร จะใช้ blockchain ก็ไม่ต้อง implement ตรงที่มันโปร่งใส ไปเน้น cost-effective เอา
- จบงานก็พิซซ่าฟรี!
- ปีหน้าจะจัดการกับคนหิ้วพิซซ่ายังไงดี เราไม่ได้ว่านะ แต่เกรงใจคนที่ยังไม่ได้กินด้วย
คือบาร์แคมป์ไม่ใช่งานโค้ดอ่ะ สองสามปีก่อนมีคนทวิตไว้ดีมาก มันคืองานที่เราจะเห็นคนที่บ้าอะไรมากๆ ออกมาแสดงพลังว่าเค้าชอบขนาดไหน เราชอบ Sentry มาก เราก็มาอวย บางคนชอบ BNK48 มาก ก็มาอวย
— อัคคาวิน (@awkwin) November 26, 2017
- เราชอบทวิตนี้พี่มนัสมาก บาร์แคมป์สามารถ shift ตัวเองจาก tech event ย่อมๆ ไปเป็น geek event (ในแง่ว่า geek คือคนที่ passion กับอะไรหลายๆ อย่างมากๆ) ได้น่ารักดี
- งานปีนี้มาตรฐานดีมาก จนกลัวว่าปีหน้าจะทำงานดรอปลงไหม 555555
- หลังเลิกงานได้มีโอกาสคุยกับพี่ไท ผู้ที่เล่นคีย์บอร์ด (musical) ด้วยคีย์บอร์ด (computer) ทดลองจิ้มๆ ดู เหยย เล่นง่ายกว่าที่คิด
- เราไม่กล้าพูดสักเท่าไหร่ว่าเรามี perfect pitch/play by ear ได้ ไม่ใช่คนที่ได้ยินรอบเดียวแล้วเล่นได้เลย แต่พี่ไทจิ้มโน้ตมาให้ลองฟังก็ตอบได้บ้าง ส่วนตอบคอร์ดนี่ไปไม่เป็น 5555555
- โดนชวนไปเล่นดนตรีปีหน้า หวังว่าจะซ้อมทัน เย่ะ
หวังว่าปีหน้าจะสามารถจัดงานให้ดีเท่านี้ได้นะครับ เจอกัน #bcbk9 😀
-
ถ่ายเอ็มวีฟอร์จูนคุกกี้ + จับมือเฟิรสท์ไทม์
ปกติเรื่องแบบนี้จะไม่เขียนลงบล็อก (ไปลงเฟซแทน) แต่ขอมาเขียนไว้หน่อย ยาว
- ณ วันที่เขียนบล็อกเอ็มวีก็ตัดเสร็จแล้ว แอร์ไทม์ตัวเองประมาณแปดวินาที
- อยากอ่าน critics จากเรา ก็ไปหาอ่านตามเพจแล้วจินตนาการเสียงเราแล้วกัน
- ช่วงที่กระแสสร้างอีเวนต์ในเฟซบุ๊คกำลังดังๆ เราตัดสินใจสร้าง “ฟอร์จูนคุกกี้ที่ตึกซีพีอี” ขำๆ ไม่ได้คิดอะไร
- ปรากฏดันมีอีเวนต์ให้ส่งวิดีโอเต้นไปร่วมแสดง
- ถ่ายจริงจัง (ประมาณห้าหกเทค) ตัดจริงจัง (นั่งอ่านคู่มือโปรแกรมตัด) โปรดักชั่นน่าจะดีกว่าหลายๆ ที่แบบเห็นได้ชัด
- แล้วก็ได้ไปแบบลุ้นๆ (พร้อมกับคนที่บนซื้อซีดียี่สิบแผ่นและสิบห้าแผ่น)
- ทีมงานขอเสื้อสีพาสเทล จบที่เสื้อ Giordano ตัวในรูป
- “พาสเทลบ้านมึงเหรอ” — เพื่อนมัธยม
- “น่าสงสาร แต่ก็จริงนะคะ 55555” — รุ่นน้อง ตอนเล่าว่าเพื่อนมัธยมบอกแบบนี้
- ถ่อไปสวนสยามตั้งแต่เช้า (แต่ไม่เช้าเท่าคนอื่น)
- จัดคิวลงทะเบียนได้ห่วยแตกดี เป็นคอขวดมาก ให้คนสองพันคนมาลงทะเบียบสี่แถว ถ้าคนละสิบห้าวิก็สองชม. นิดๆ แล้ว
- จัดตัวเองเป็นเจ็ดร้อยคนแรกเสร็จแล้วก็ปล่อยเดินเล่นในสวนสยาม, เปิดเพลงโคโคทามะให้น้องคนนึงฟัง first time
- อาาา บอกเลยฉันชอบเธออออ
- พอได้เวลานัดก็ทยอยกลับมา เราเป็นคนกลุ่มท้ายๆ ที่กลับเข้ามาที่ถ่ายเอ็มวี
- ทีนี้ทางเดินมาจุดพักมันสวนกับลานที่ถ่าย ก็เหมือน stack datatype คือคนมาทีหลังก็ได้เดินออกไปยืนตรงถ่ายเอ็มวีก่อน
- และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมทีม CPE48 ถึงได้อยู่ตรงนั้นเยอะมากๆ
- เทคแรกๆ ถ่ายไม่มีเมมเบอร์ ก็เหนื่อยดี สองสามรอบมั้ง
- พอเมมเบอร์ออกมาเท่านั้นแหละ ทุกอย่างเปลี่ยน
- เฌอตัวจริงเตี้ยกว่าที่คิด ออร่าออกมาก โคตรไอดอล
- คุณปู๊ปน่ารัก โดนตกก็งานนี้แหละ
- ถ่ายกันอีกพักนึงมั้ง พักหลังๆ นอกจากร้อนก็ไม่มีสมาธิละ มองเมมเบอร์อย่างเดียว
กระบวนการจับมือ — ภาพจาก https://blogs.msdn.microsoft.com/kaushal/2013/08/02/ssl-handshake-and-https-bindings-on-iis/ - แล้วก็งานจับมือรอบเข็มกลัด เป็นงานจับมือ first time
- สั่งเข็มกลัดอันเดียว ตอนแรกบ่นเรื่องค่าส่งมหาศาล ไปๆ มาๆ คุ้มสุดโว้ยย 250+70 ได้เข็มสอง รูปหนึ่ง บัตรหนึ่ง
- เราไม่อยากจับมือสักเท่าไหร่เอาเข้าจริง คือรู้สึกมันพิเศษกว่าที่จะมาจับไอดอล (เอากันตรงๆ คืออยากเก็บไว้จับมือแฟน)
- เคยโดนคนที่ดูใจขอจับมือครั้งนึง นั่งเขินไปเกือบครึ่งชั่วโมงอ่ะ
- ไม่ได้ไม่อยากไปนะ แต่อยากยืนพูดเฉยๆ
- ไลฟ์ตอนเช้าไม่มีอะไรน่าพูดถึงมาก มี
สตีฟจ๊อบมา keynote หลังโชว์ - ไปกินข้าวและกลับมาช้า พบว่าแถวเฌอยาวมาก แล้วมันยาวแบบนี้
- เผื่อใครมองไม่ออก มันคือซิกแซกสามชั้นตรงเลนเฌอ แล้วมาซิกแซกข้างนอกอีก
- เรามาตอนก่อนปิด ~20 นาที ได้เข้าเป็นกลุ่มสุดท้ายๆ
- ถ้าตีว่า process คนนึงใช้เวลา 15 วิ ก็ประมาณ 80 คนหน้าเราอ่ะแหละ
- คิดไว้จากบ้านแล้วว่าจะพูดอะไรบ้าง: “ขอบคุณที่เป็นแรงบันดาลใจให้ เราเป็นกำลังใจให้เฌอ เฌอเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะ”
- เราตั้งชื่อ subdomain ที่โยนงานทีเอเทอมนี้ไว้ที่ https://cherprang.srakrn.me/
- ไม่ได้ hype ไอดอลขนาดต้องเอามาตั้งชื่อ แต่เฌอคือคนนึงที่เรานับถือ มีความ maturity และความรับผิดชอบสูงมาก
- พูดแบบไม่อวยคือเรารู้สึกเรากับเฌอมีอะไรร่วมกันอยู่บ้าง เช่น ชอบคนอบอุ่นและเก่งกว่าเหมือนกัน อยากทำอะไรใหม่ๆ บลาๆ
เฌอเป็นกัปตันเราเป็นเฮดภาค เรียกเราแคปแทนสิ- เออ โคตรแทนเลย hype ไอดอลที่ “เก่งกว่า” เนี่ย
- พูดแบบไม่อวยคือเรารู้สึกเรากับเฌอมีอะไรร่วมกันอยู่บ้าง เช่น ชอบคนอบอุ่นและเก่งกว่าเหมือนกัน อยากทำอะไรใหม่ๆ บลาๆ
- ไม่ได้ hype ไอดอลขนาดต้องเอามาตั้งชื่อ แต่เฌอคือคนนึงที่เรานับถือ มีความ maturity และความรับผิดชอบสูงมาก
- มาคิดอีกทีอยากบอกเฌอว่า “เหนื่อยหน่อยนะ สู้ๆ นะ” ก็เลยกะจะตัดตรงขอกำลังใจจากเฌอออก
- มางานจับมือนี่จริงๆ คือมาขอบคุณคนที่ทำให้เห็นว่า consistency ในการทำงานที่ดีเป็นแบบไหน
- โคตรแทนอีกแล้ว
- มางานจับมือนี่จริงๆ คือมาขอบคุณคนที่ทำให้เห็นว่า consistency ในการทำงานที่ดีเป็นแบบไหน
- เราตั้งชื่อ subdomain ที่โยนงานทีเอเทอมนี้ไว้ที่ https://cherprang.srakrn.me/
- รู้ตัวอีกทีก็คิวต่อไป
- ยื่นบัตรจับมือ สวัสดีเฌอหนึ่งครั้ง เฌอยื่นมือให้จับ
- เดินเข้าไปจับมือ
- สุดท้ายก็จับ
- เฌอแอบบีบมืออยู่นะ ไม่ได้จับหลวมๆ
- “สวัสดีนะเฌ เหนื่อยหน่อยนะครับ เราเป็นกำลังใจให้นะ”
- เฌอยิ้ม
- “ก็ ขอบคุณที่เป็นแรงบันดาลใจให้ตลอด เราเป็นกำลังใจให้เฌอ เฌอเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะ”
- สุดท้ายก็ขอกำลังใจ
- “ค่าา สู้ๆ นะ” แคป
- เชี่ย เวลาเหลือ
- เฌอเพิ่งมีชื่อในเปเปอร์เรื่องการพิสูจน์ผลทางไฟฟ้าเคมีของ blue bottle experiment (ขก.หาเลข DOI มาแปะ) ก็นั่งอ่านอยู่ตอนรอเวทีไลฟ์
- เลยบอกเฌอไปว่า “พยายามอ่านเปเปอร์เฌออยู่นะ”
- เฌอชูกำปั้นมือขวาแล้วโอ๊สสให้หนึ่งที
- หมดเวลาพอดี
- เดินออกมาทางออก
- ยืนเขินนานมากตรงทางที่เดินออก คนที่ต่อแถว
จับมือ เซะกิ ทูช็อตคุยกับจ๊อบซังเลนข้างๆ แซ็วว่าฟินล่ะสิ- ก็ฟินนะ แต่ดีใจมากกว่าที่ได้มาขอบคุณ
- เวลาเราทำอะไรให้ใครแล้วมีคนขอบคุณ เรารู้สึกแรงตรงนั้นผลักเราได้ดีมาก
- ก็หวังว่าจะสามารถผลักคนที่ให้แรงบันดาลใจเราได้
- ก็ฟินนะ แต่ดีใจมากกว่าที่ได้มาขอบคุณ
- ยืนเขินนานมากตรงทางที่เดินออก คนที่ต่อแถว
- ต่อคิวเอาเข็มกลัดต่อ
- คิวยาวมาก เข้าใจทีมงานเปิดคิวหลายคิวไม่ได้เพราะใช้กระดาษอย่างเดียว แค่ถ้าพี่ใช้คอมบันทึกสถานะทุกอย่างก็จบหมดแล้ว
- ตั้งแต่ถ่ายเอ็มวีแล้ว ถ้าลงทุนทำระบบเก็บทะเบียนเก็บสถานะพวกนี้หน่อย ได้ใช้หลายงานแน่ๆ
- ไม่ได้ dev ยากอะไรเลยด้วยซ้ำ
จ้างทีม CPE48 ทำน่าจะไม่ต้องจ่ายสักบาท ขอเซะกิก็พอ
- ไม่ได้ dev ยากอะไรเลยด้วยซ้ำ
- ตั้งแต่ถ่ายเอ็มวีแล้ว ถ้าลงทุนทำระบบเก็บทะเบียนเก็บสถานะพวกนี้หน่อย ได้ใช้หลายงานแน่ๆ
- คิวยาวมาก เข้าใจทีมงานเปิดคิวหลายคิวไม่ได้เพราะใช้กระดาษอย่างเดียว แค่ถ้าพี่ใช้คอมบันทึกสถานะทุกอย่างก็จบหมดแล้ว
- ได้เมต๋า คุณไข่ และรูปต๋า
- ต๋าน่ารักนะแต่ไม่ได้ตามขนาดนั้น (ไม่อยู่ในลิสต์โอชิด้วย) ปล่อยทั้งรูปและเข็มรวมกันไปในราคาสองร้อย
- เงินสองร้อยก้อนนั้นกลายเป็นที่บดกาแฟไปแล้ว
- จบ ง่วง กลับ นอน
สถิติการถูกพูดถึงเรื่องเอ็มวี
จากภาพข่าวเอ็มวี
- ทวิตเตอร์สามสี่ทวิต
- โดนแท็กมาในเฟซบุ๊ค
- ทุกคนเปิดรูปข่าวมาแซ็ว
จากตอนเอ็มวีออก
- ทวิตเตอร์แปดทวิต รวมทวิตคุยๆ กัน
- ไอจีหนึ่ง
ก็ once in a lifetime ดี
- ณ วันที่เขียนบล็อกเอ็มวีก็ตัดเสร็จแล้ว แอร์ไทม์ตัวเองประมาณแปดวินาที
-
ผมแต่งนิยายรัก
ผมแต่งนิยายรัก
นิยายของผมมีตัวละครเป็นผมและคุณผมแต่งนิยายรัก
ค่อยๆ แต่งมันด้วยทุกคำพูดและการกระทำที่ให้คุณคุณช่วยผมแต่งนิยายรัก
ทุกเรื่องที่เราคุยกัน ทุกการกระทำ ทุกสถานที่ที่มีเรา มันปรากฏอยู่ในนิยายของผมผมแต่งนิยายรัก
เพราะความรู้สึกที่ “ผม” ให้ “คุณ” มันคงอธิบายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นิยายรักของผมอาจจะกำลังเริ่มต้น — หรืออาจจะกำลังจบ — หรืออาจจะไม่เป็นตามโครงที่วางไว้ว่าเราสองคนอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า
แต่มันก็เป็นนิยายรักที่ผมภูมิใจ เป็นนิยายรักที่มีตัวละครแบบที่ผมอยากให้เป็นและทุกครั้งที่กลับมาอ่าน ความทรงจำดีๆ คงกลับมา พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ปรากฏอีกครั้ง
-
คำถามห้าข้อ
“Blair’s Doctrine” (หลักคิดของแบลร์) ซึ่งเป็นหลักคิดของโทนี แบลร์ อดีดนายกรัฐมนตรีของอังฤษ เสนอว่าก่อนจะดำเนินการทางทหารกับประเทศใดๆ เราควรตอบ “ใช่” กับคำถามห้าข้อนี้
- Are we sure of our case? (เรามั่นใจใช่หรือไม่ว่าเราทำถูก)
- Have we exhausted all diplomatic options? (สอง เราไม่มีวิธีการทูตเหลือแล้วใช่ไหม)
- Are there military operations we can sensibly and prudently undertake? (มีปฏิบัติการทางทหารที่เราจะสามารถใช้ได้อย่างรับผิดชอบและมีเหตุผลหรือไม่)
- Are we prepared for the long term? (เรารับผลระยะยาวได้หรือไม่)
- Do we have national interests involved? (เรามีเหตุผลแห่งรัฐของเราเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่)
แม้จะเป็นคำถามที่ค่อนข้างกว้าง แต่หลักคิดของแบลร์ก็สามารถให้คำตอบคร่าวๆ กับการตัดสินใจใดๆ ที่อาจนำพาไปสู่ความลำบาก
ขอเสนอหลักคิดของแทน — ในการยืนยันว่าเราชอบใครจริงๆ เราควรตอบคำถามเหล่านี้
- Are we sure of our feelings? (เรามั่นใจในความรู้สึกใช่ไหม)
- Are we sure of our feelings? (เรามั่นใจในความรู้สึกใช่ไหม)
- Are we sure of our feelings? (เรามั่นใจในความรู้สึกใช่ไหม)
- Are we sure of our feelings? (เรามั่นใจในความรู้สึกใช่ไหม)
- Are we sure of our feelings? (เรามั่นใจในความรู้สึกใช่ไหม)
เพราะเรื่องบางเรื่องก็ปล่อยมันเป็นความรู้สึกไปเถอะ
-
ทัศนะและการตีตรา
ภาพ: เจอรัลด์ ฟอร์ด อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ (คนขวา) มอบเหรียญรางวัลให้ George Dantzig (คนซ้าย) (เผยแพร่ครั้งแรกที่เฟซบุ๊คส่วนตัว)
ในปี 1939 นักศึกษาที่ UC Berkeley คนนึงเข้าห้องเรียนสาย เขาพบว่าอาจารย์ทิ้งโจทย์ไว้สองข้อ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปสอนอย่างอื่นต่อ
George Dantzig คือชื่อของนักศึกษาคนนั้น เขากลับบ้านไปทำการบ้านสองข้อนั้นส่งให้อาจารย์ในวันถัดมา ด้วยความรู้สึกว่าเป็นโจทย์ที่ยากกว่าปกตินิดนึงอันที่จริง “การบ้าน” สองข้อนั้น เป็นโจทย์ปัญหาสถิติที่ยังไม่มีใครสามารถแก้ได้ และ “วิธีทำ” ของการบ้านข้อหนึ่งก็ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร The College Mathematics Journal ของสมาคมคณิตศาสตร์แห่งอเมริกา และกลายเป็นธีสิสจบของ Dantzig เองด้วย
แนวคิดของ “ทัศนะคติบวก” เป็นหนึ่งในเรื่องที่พบได้มากทั่วๆ ไป ตั้งแต่กรณีของ Dantzig ซึ่งทำให้เห็นว่าบางครั้งอุปสรรคต่อการทำอะไรคือเรื่องของความคิดและการรับรู้ (mindset and perception) และแนวคิดคล้ายๆ กันนี้ก็กลายไปอยู่ในแนวคิดของการประทับตรา (labelling) ในสังคมวิทยา
การประทับตรา (ไม่ได้พูดถึงในแง่สังคมวิทยา) เกิดขึ้นได้ทั่วไป ตั้งแต่การแยกห้องเด็กเก่งเด็กอ่อน ถึงการตราหน้าว่าใครเป็นคนดี คนชั่ว
บางครั้งการประทับตราที่น่ากลััวที่สุดก็เกิดจากตัวเอง หากเรานิยามตนเองว่าทำไม่ได้ ว่าโง่ ว่าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสังคม ในที่สุดแล้วจิตสำนึกและทัศนะส่วนที่ลึกที่สุดก็จะถูกดูดกลืนจากตราที่ตัวเองประทับส่วนตัวเชื่อว่าตราที่ตัวเองเป็นคนประทับ มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์กว่าตราของคนอื่น เพราะเป็นตราที่เราเชื่อว่าเราเป็นจริงๆ จึงไม่น่าจะปฏิเสธได้ว่า
บางครั้งการเริ่มเปลี่ยนอะไรในตัวเอง (หรือแม้แต่ในสังคม) ก็เริ่มจากการเลิกประทับตราแง่ลบทั้งหลายใส่ตัวเอง มองโลกตามจริงในแบบที่เป็น (in a neutral way) ถึงจุดนั้นน่าจะเห็นอะไรชัดขึ้นเองว่าเราควรทำอะไร รับรองว่าจะเป็นสิ่งที่สมควรแก่การทำจริงๆ มากกว่าการมานั่งประทับตราตัวเอง
George Dantzig เป็นนักคณิตศาสตร์ผู้คิดค้น Simplex method ซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหา linear programming โดยใช้เมทริกซ์ (x, y, z, a, b, p ที่เราเรียนกันตอนมัธยม)
-
ไม่มีอะไรทำให้ไม่คิดถึงคุณ
เวลาไม่มีอะไรทำให้ไม่คิดถึงคุณ มันก็จะแย่หน่อย
ตั้งแต่เดินในสถานที่เก่าๆ ที่เดินด้วยกัน คุยประโยคที่เคยคุยถึงคุณกับเพื่อน หยิบจดหมายเก่าขึ้นมาอ่าน นอนตรงฟูกที่ชอบนอนคอลกับคุณ นั่งดูสติ๊กเกอร์แปะโน้ตบุ๊คที่คุณเป็นคนวาด
เชื่อไหม แม้แต่ตั้งชื่อเซิร์ฟเวอร์ใหม่ กับนั่งเขียนโปรแกรม เรายังคิดถึงคุณเลย
คุณน่าจะรู้ว่าเราชอบพูดว่า “I can neither confirm nor deny” แต่คุณรู้ไหมว่าคุณคือคนแรกที่กล้าสวนเราว่า “Then I’ll take that as a yes”
จากที่เคยคิดว่าคุณน่ารักดี แค่นั้นเราก็รู้สึกว่าคุณใช่แล้ว จะมีสักกี่คนที่กล้าสวนเราแบบนี้ และทำให้เราได้พูดตรงๆ ว่าคิดอะไรอยู่เมื่อวานเพื่อนพูดประโยคนี้เป๊ะๆ กับเรา เราเข้าใจเลยว่าการเจ็บปวดทางอารมณ์ที่ลามมาถึงความเจ็บปวดทางร่างกาย (physically) มันเป็นยังไง
ทุกความทรงจำ ทุกเรื่องที่เราทำ มันก็โยงไปหาคุณได้หมดแหละ
ตลอดเวลาที่มีคุณ เรามีความสุขมากเลยนะ เสียดายที่มันสั้นไปแค่นั้นเอง
รูปคู่ยังอยู่ในเคสไอแพดและความทรงจำของเรา ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งรอยยิ้ม น้ำตา เสียงเพลง และเสียงร้องไห้ ยังอยู่ในความทรงจำของเราหมด แล้วเรื่องของเราอยู่ในความทรงจำของคุณบ้างไหม
คุณบอกให้เราเปลี่ยนความเศร้าเป็นงานศิลปะ แต่เรากลับรู้สึกว่าโลกที่ไม่มีคุณมันต่างออกไปเสียเหลือเกิน เราทำงานได้เยอะขึ้น เราอยู่ด้วยตรรกะมากขึ้น สิ่งที่หายไปคืออารมณ์บางอย่าง อย่างน้อยก็อารมณ์ที่ทำให้เขียนบล็อกได้เป็นวรรคเป็นเวร
ความรู้สึกเดียวที่รู้สึกได้จริงๆ คือเหงา และคิดถึง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เราจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเรายิ้มเท่าตอนมีคุณบ้างหรือเปล่า
เคยบอกใครหลายคนไว้ว่าถ้าติ่มซำกับหมูกรอบเรามันอร่อยเราก็อยู่คนเดียวได้ แต่มันไม่อร่อยแล้ว
คิดถึงแหละ แต่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดถึงด้วยซ้ำในความจริง
อยู่ตรงนั้นขอให้คุณมีความสุขนะ
-
คงมีแต่คำว่าขอโทษ
เราไม่มีทางรู้เลยว่าการกระทำใดของเราที่เรามุ่งเจตนาสื่อสารบางอย่าง ผู้รับสารนั้นจะตีสารนั้นเหมือนที่ผู้ส่งสารส่งออกไปไหม
การพูดสนทนามีสาสน์มากกว่าตัวข้อความเอง — น้ำเสียง วาจา สีหน้า — สิ่งเหล่านี้ถูกทอนทิ้งผ่านการส่งข้อความ
หรือแม้แต่การตีความน้ำเสียงและสีหน้า ก็ย่อมเป็นปัจเจก คือขึ้นอยู่กับบุคคลนับประสาอะไรกับการกระทำ? เรามั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เรากระทำนั้นจะสื่อสารไปถึงผู้รับจริงๆ ตามที่เราเจตนา
หากสาสน์ที่เราส่งไปกลายเป็นความอึดอัดใจ ความไม่สบายใจ คงไม่ใช่เพียงเธอที่รู้สึกแย่ แต่คงเป็นทั้งสองฝ่าย — คงเป็นเราที่ทำร้ายเธอทางอ้อมด้วยเมื่อความพยายามแสดงความจริงใจกลายเป็นการคุกคามในสายตาอีกฝั่ง ความอึดอัดย่องเกิดขึ้นแบบเลี่ยงไม่ได้ และคงเป็นความอึดอัดที่ทำให้ความสัมพันธ์ต้องถอยหนี
ไม่ว่าเจตนาจะเป็นอย่างไร ความอึดอัดใจที่ก่อขึ้นในอีกฝั่งหนึ่งก็ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปไม่ใช่น้อย ความรู้สึกนี้ไม่เคยมีผลดีต่อใคร
เมื่อนั้น คงมีแต่คำว่าขอโทษ
ถ้าเธออ่านอยู่ เราขอโทษนะ เราขอให้เธอมีความสุขมากๆ นะ