Category: Life

  • คงไม่มีคำว่าขอบคุณ

    เมื่อคนสองคนแยกย้ายห่างจากกันออกไป สิ่งที่เหลือคือเรื่องราวและความทรงจำที่ดี
    แม้จะมีคนบอกว่าความทรงจำดีๆ เป็นอะไรที่จะติดตรึงไปตลอด แต่ถึงกระนั้นก็มีปัจจัยหลายอย่างมากกว่าตัวความทรงจำเองที่จะบันทึกไว้ว่าความทรงจำนั้นดีหรือไม่ดี

    เมื่อความสัมพันธ์ถอยลง สิทธิ์ขาดในการกำหนดระยะความสัมพันธ์นั้นขึ้นกับคนคนเดียว นั่นคือคนที่เลือกระยะห่างที่สุดให้กับความสัมพันธ์
    ความพยายามในการเข้าหาของคนที่พยายามมากกว่าคงไม่เกิดประโยชน์ประการใดเลยหากเป็นอีกฝั่งหนึ่งที่ถูกปิดกั้น

    และเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลือกที่จะสร้างความบาดหมาง เย็นชา การทะเลาะเบาะแว้งก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เมื่อนั้นภาพแห่งความบาดหมางก็คงค่อยๆ ก่อตัวหนา

    แม้ความทรงจำที่ดีจะมีอยู่ แต่หากทุกครั้งที่หวนคิดถึงมัน กลับกลายเป็นภาพเลวร้ายที่ซัดโถมมากลบความทรงจำ เป็นภาพเหล่านั้นที่ทำให้วันและเวลาดีๆ หายไป ใบหน้าที่ควรจะยิ้มเมื่อนึกถึงมันกลับเต็มไปด้วยน้ำตาและเสียงสะอื้น

    เมื่อภาพที่เลวร้ายถาโถมจนกลบความรู้สึกดีๆ เมื่อนั้นก็คงไม่มีคำว่าขอบคุณต่อกันอีก เพราะภาพความทรงจำดีๆ คงไม่ใช่ภาพที่อยากนึกถึง — หรือแม้แต่จดจำอีกต่อไป

  • ตามหาคุณ

    “สิ่งที่เราอยากทำไม่ใช่อะไรใหญ่หลวงหรอก เราแค่อยากเจอคนที่รักเราจริงๆ เราอาจจะยอมพลิกแผ่นดินหาคนคนนั้นด้วยซ้ำ”

    “ถ้าสิ่งที่เธอกำลังทำคือตามหาคนที่รักเธอ สิ่งที่เราจะทำคือทำให้เธอเชื่อว่าคนที่เธอตามหาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว”

    “งั้นสิ่งที่เราอยากทำ ก็คือรัก ไว้ใจ และเชื่อใจใครสักคน”

    “ไม่ง่าย กว่าจะทำได้ถึงตรงนั้น แต่ก็คงไม่ยาก เพราะรู้ตัวอีกทีเรารู้สึกแบบนี้กับเธอไปแล้ว”

  • ใกล้ๆ หู

    เขาอยู่กับเธอ บันไดเลื่อนกำลังเลื่อนขึ้น ทั้งคู่กำลังไปชานชาลารถไฟฟ้า
    ตลอดที่เขาอยู่กับเธอ เธอเรียกเขาว่า “เธอ” และเรียกตัวเธอเองว่า “เรา”

    เขาตั้งคำถาม หรือวันนี้เขาฝันไป? โอกาสที่ได้อยู่กับเธอช่างดูไม่น่าเป็นไปได้
    อันที่จริงเขารู้ว่านี้ไม่ใช่ฝัน แต่ก็ไม่อยากเชื่อตัวเองสักเท่าไหร่

    “นี่” เขาเอ่ย เธอยิ้มให้เล็กน้อย
    “เรียกชื่อเราให้เราได้ยินสักทีได้หรือเปล่า” เขากล่าวออกไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขอมากเกินไปไหม

    เธอยิ้มเล็กน้อย ดึงเขามาจับมือ เอ่ยชื่อเขาเบาๆ ที่ข้างหู
    “ชอบนะ” เสียงหวานเสียงนั้นดังขึ้นต่อจากชื่อของเขา

    เขายิ้ม ทั้งที่ขอเกินไป แต่กลับได้เกินกว่าที่ขอ
    พลันหันหน้าหนีพร้อมพยายามเก็บยิ้ม แต่ความรู้สึกนั้นเกินกว่าจะสามารถซ่อนได้

    แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มออกมาด้วยกัน

    ขอบคุณนะครับ แมรี่ 🙂

  • แชทบอท

    You:     งื้อออออ มีอะไรจะบอกอ่ะ
    You:     !chatbot confess @haveore
    Chatbot: @haveore has been loved by @ordinaryguy!
    You:     อิอิ ฝากบอทมาบอกรักนะ อุตส่าห์เขียนมา 55555555
    Haveore: ทำไมต้องผ่านบอท
    Haveore: บอกตรงๆ ไม่ได้หยอ
    You:     งื้อ ไม่อ้อมค้อมแล้วเนอะ
    You:     ชอบนะ .////.
    Haveore: ชอบเหมือนกัน :smile:
    You:     :)
  • ถนัด – ชอบ – เก่ง – ทำเงิน: เมื่อมองตัวเองหลังจบปีหนึ่ง

    จบปีหนึ่ง CPE แล้ว จะว่าเร็วก็ว่าเร็ว ส่วนจะว่าช้านี่ไม่สามารถทำได้จริงๆ เพราะมันไม่ช้าเลย

    เหลือเวลาอีกสองปีสำหรับการหาที่ฝึกงาน และสามปีก่อนออกไปหางานจริง คำถามคือจะฝึกงานในฐานะอะไร ตำแหน่งอะไร?

    ด้วยความว่างเลยมานั่งไล่ดู แล้วก็พบว่าควรจำแนก skills เราออกเป็นสามด้านให้เรียบร้อย: ถนัด ชอบ และเก่ง

    • งานที่ถนัด คืองานที่รู้สึกทำแล้วชินมือ คือเปิดมาแล้วสามารถทำโดย fluent ได้ ต่อให้ไม่ได้ทำมานานก็ไม่ติดอะไรเป็นพิเศษ
    • งานที่ชอบ คืองานที่อยากทำ เออ อยากทำล้วนๆ เลย ไม่จำเป็นต้องถนัด หรืออะไรแต่ประการใด
    • งานที่เก่ง คืองานที่ต่อให้รู้สึก stuck แค่ไหนแต่พองานออกมาแล้วโอเคกับมันมากๆ

    ประเด็นคือสามงานนี้มี band ของเซ็ตตามแผนภาพออยเลอร์ทับอยู่อีกหนึ่งภาพ

    เซ็ตอีกเซ็ตที่ควรเก็บมาใส่ใจนั่นคือการทำเงิน ไม่งั้นเราคงได้ข้อสรุปตั้งแต่แรกแล้วว่าทั้งสามเซ็ตแรกมี “การนั่งไถ Reddit” เป็นสมาชิกด้วยกันทั้งหมด เสียตรงที่มันไม่ทำเงิน แหม่ 😛

    สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยลองไล่งานดูว่างานไหนบ้างที่เป็นตัวเรา

    • งานที่ถนัดรู้สึกจะเป็นงานเขียน สามารถเปิดบล็อกขึ้นมาเขียนได้โดยไม่หยุด เขียนโน่นนี่ลง Blognone ก็เขียนได้ค่อนข้างลื่น มีหลายงานเขียนที่กลับมาอ่านแล้วคิดว่าทำไมตอนนั้นเขียนได้ไม่ดีเท่าที่ปัจจุบันหวัง แต่ก็ยังโอเคอยู่
    • งานที่ชอบ (คิดว่าชอบ) คือสาย machine learning/data analytics มันทำให้เราสนใจมานานแล้วว่าบนโลกของ Data เราสามารถหยิบมันมาทำอะไรได้บ้าง
    • งานที่เก่ง คืองานด้านดีไซน์ รู้สึกว่าติดขัดกับมันมาเยอะ แต่พอมาเปิดงานตัวเองทีหลังก็ไม่รู้สึกผิดหวังอะไร

    ประเด็นคืองานทั้งสี่อยู่ตรงไหนในแถบทำเงิน?

    • สำหรับงานเขียน เป็นบล็อกเกอร์ก็น่าจะทำให้มี income ได้ แต่ไม่ใช่อาชีพที่ยึดถือ (ทั้งในแง่ reliability of income และในแง่ที่ยึดหลัก Blogger ไม่ใช่อาชีพจากการได้คุยกับ #มิตรสหายท่านหนึ่ง) แต่ที่สนใจกว่าคืองานสอน เราพบว่าทำงานสอนนี่สนุกกว่าที่คิดตั้งแต่เปิดเพจสอนคอมโปร (หรือเอาเข้าจริงคือสนุกตั้งแต่สอนคอมเพื่อนสมัยมัธยม — แปะลิงก์ไว้ แต่อย่าดูเลย อายเค้า :P)
    • งานสาย data analysis/machine learning นี่ทำเงินแน่นอน ข้ามไปเลย สายนี้ตรงๆ อยู่แล้ว
    • งานสาย creativity นี่ถ้าจะเอาให้ตรงสายรู้สึกควรจะไป UX Designer ก็ได้ แต่ไม่คิดว่าตัวเองจะเก่งถึงขั้นนั้นได้

    พอมามองแล้วก็พบว่าตัวเองเขวเหมือนกัน มีงานหลายสายที่ยังอยากแตะดู (Theory, Infrastructure, Web) แต่ก็ยังไม่ได้แตะ และคิดว่าได้เวลา scope ตัวเองลงมาให้เฉพาะทางได้แล้ว

    ถ้าเขียนบล็อกนี้แล้วได้อะไร ก็ขอตอบว่างานที่มุ่งจะทำคือ data analysis แล้วกัน หวังว่าจะสามารถเดินตามทางนี้ได้โดยไม่หลงในอนาคต

  • กับดักทัศนะ

    กับดักที่อันตรายที่สุด คือกับดักทางทัศนะคติของบุคคลหนึ่ง
    เป็นกับดักที่ไม่ได้ล่อให้ผู้อื่นมาติด แต่ตรงกันข้าม มีไว้ดักตัวเองให้ไม่ไปไหน

    ทัศนคติของมนุษย์คนหนึ่งอาจได้รับอิทธิพลมาจากหลายสิ่ง และปฏิเสธไม่ได้ว่าบริบททางสังคมมีส่วนอย่างยิ่งในการกำหนดกรอบทัศนะ

    แน่นอนว่าเมื่อทัศนคติส่วนลึกของบุคลลหนึ่งนั้นไม่ตรงกับสิ่งที่เขาเป็น ทัศนคติจะเป็นตัวกำหนด ตีกรอบ และทำหน้าที่เป็น “กับดัก” ให้กับทั้งพฤติกรรม นิสัย การกระทำ
    บางครั้งการเลือกตีกรอบตนเอง ตามกรอบทางทัศนคติที่สังคมตีไว้ ก็อาจทำให้ตัวเองไม่เป็นในสิ่งที่เป็น และอาจลามไปถึงจุดที่ไม่สามารถยอมรับความเป็นตัวเองได้

    อันที่จริงแล้ว กรอบหรือกับดักนั้นอาจเป็นเพียงความเชื่อว่าเป็นสังคมที่ปลูกไว้ให้ ทั้งที่ผู้คนซึ่งรายล้อมเราอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้น กล่าวคือเป็นความทึกทักไปเองของตนว่าสังคมเป็นผู้ตีกรอบนี้ ไม่ว่าจะทึกทักโดยอิงจากการตัดสินทางจารีต วัฒนธรรม ความเชื่อ ความคิด หรือแม้แต่กรอบที่เกิดจากความมโนโดยสมบูรณ์

    เมื่อเราสลัดกรอบทางทัศนะได้ เราอาจเข้าถึงขั้นหนึ่งของการมีตัวตนที่เป็นตัวตน กล่าวคือหากเปรียบการยอมรับในความคิดและสิ่งที่เป็นให้เป็นเกมหนึ่งเกม กับดักทางทัศนะก็เป็นเหมือนบอสร่างใหญ่ก่อนจบเกม ที่หนทางเดียวในการชนะเกมคือต้องโค่นบอส

    เพียงแค่การโค่นบอสนี้ไม่จำเป็นต้องมีสรรพาวุธมากมายในการเอาชนะ — การเอาชนะบอสใหญ่ในเกมนี้ ก็เหมือนการเอาชนะตนเอง
    สิ่งที่ต้องทำ ก็แค่สลัดทัศนะคติ หรือความเชื่อที่ตนเองเป็นผู้ปลูกทิ้งไปบ้างเท่านั้นเอง

    ขอบคุณนะ

  • กอด

    เราจำทุกกอดของคุณไม่ได้หรอก
    เราจำได้แค่ว่าทุกกอดมันเหมือนกันในแง่ความอบอุ่น

    เราไม่รู้คุณจะจำกอดของเราเป็นยังไง
    แต่ถ้าเราบอกคุณได้ เราอยากให้คุณจำกอดของเราว่าเป็นกอดที่เราให้คุณทั้งใจ

    วันนึงที่เราได้กอดกันอีกครั้ง เราอยากให้คุณย้อนกลับไปถึงกอดครั้งก่อนๆ ที่เคยผ่านด้วยกันมา

    เพราะเรายังให้คุณทั้งใจเหมือนเดิมอยู่เสมอ

  • โดดเดี่ยวอีกครั้ง

    จากหมอชิตถึงสำโรง การนั่งรถไฟฟ้าเล่นเพื่อไปดูสถานีสร้างใหม่แล้วกลับ ก็อาจจะเป็นการฆ่าเวลาที่ไร้สาระดี

    เขาและผู้คนนับร้อยเคลื่อนที่ผ่านขบวนรถเดียวกัน หลายคนที่มาเป็นกลุ่มมีจุดหมายร่วมกัน
    แต่ต่างกลุ่ม ต่างบุคคล ก็มีจุดหมายที่ต่างกันไป

    เพียงชั่วอึดใจรถไฟฟ้าก็กำลังจะพาเขามาถึงอีกซีกหนึ่งของเมือง

    สถานีต่อไป สถานีปลายทาง สำโรง…

    สำโรงเป็นชานเมืองรอยต่อกรุงเทพและสมุทรปราการ สถานีบีทีเอสที่ตั้งใหม่ที่นี่เพิ่งเปิดให้บริการ
    เขามองรอบตัว คนดูไม่เยอะ ความเหงาเริ่มก่อตัว

    ถ่ายรูปจนหนำใจ รอรถไฟฟ้ากลับสู่เมือง


    เขาแล่นผ่านใจกลางเมืองอีกครั้ง ผู้คนพลุกพล่านและมากหน้าหลายตา
    แต่ผู้คนที่ผ่านไปมามากมายจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเขาและผู้คนเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคนแปลกหน้า

    มีผู้คนในความไม่มีปฏิสัมพันธ์

    สถานีต่อไป สถานีปลายทาง หมอชิต…


    สวนจตุจักรคือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่ทำให้คนได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น

    นอกจากการยืนตรงเคารพธงชาติตอนหกโมงเย็น ทุกคนก็ดูมีเป้าหมายของตัวเองในการมาที่นี่ ต่างกลุ่มต่างคน ต่างเป้าหมาย
    แม้ที่นี่จะมีคนอยู่มากมาย แต่หากไม่นับกลุ่มคนที่มาด้วยกัน หรือคนที่รู้จักกันโดยบังเอิญ ทุกคนก็เหมือนคนแปลกหน้า

    เขาเดินผ่านชมพูพันธุ์ทิพย์ที่กำลังบานสะพรั่ง ผู้คนมากมายถ่ายรูปใต้ดอกไม้ ส่วนใหญ่มาเป็นคู่
    เขาหยิบมือถือมาถ่ายดอกไม้เก็บไว้ — คงไม่มีโอกาสที่จะได้ถ่ายตัวเองกับดอกไม้ชมพูที่บานสะพรั่ง เพราะไม่มีใครถ่ายให้

    ผู้คนที่รายล้อมมากมาย แต่เขากลับอยู่ลำพัง
    ความรู้สึกช่างไม่ต่างจากขณะที่ไม่มีผู้คน

    และเมื่อนั้นเขาก็รู้สึกโดดเดี่ยวอีกครั้ง

  • ความทึกทักไปเองที่ทำร้ายตัวเอง

    เราล้วนเคยคิดว่าโอกาส (occasion) ต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตนั้นมีจุดหมายที่ต่างกันไป

    หลายครั้งโอกาสคุยกับใครสักคน เที่ยวกับใครสักคน กินข้าว ดูหนัง ร้องเพลงกับใครสักคน หรือกิจกรรมสารพัดอาจทำให้เรารู้สึก “พิเศษ” ได้ด้วยตัวมันเอง
    ไม่ว่าเพราะความรู้สึกนั้นเกิดด้วยอะไรก็ตาม เราปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยความ “พิเศษ” นั้น เราล้วนยินดีกับโอกาสที่เราได้รับไม่เหมือนคนอื่น

    แต่แน่นอนว่าความรู้สึกของคำว่าพิเศษนั้นก็อาจเกิดจากการทึกทักไปเอง หลายครั้งที่เราอาจคิดไปเองว่าโอกาสที่ได้รับจากใครสักคนมันพิเศษ ทั้งที่มันก็ไม่ได้ต่างจากโอกาสที่เขาล้วนให้คนอื่นเลย

    มิหนำซ้ำมันอาจดาษดื่น เขาอาจให้คนในชีวิตเขาโดยไม่คิดอะไร — ไม่ต่างจากความไม่คิดอะไรที่เขาให้เรามาพร้อมโอกาสนั้น

    เมื่อมนุษย์มีความคาดหวัง ความฝัน และจินตนาการ เมื่อนั้นความคิดก็หวนกลับมาทำร้ายตัวเอง

    มันอาจไม่ใช่แค่สิ่งที่เราคิดว่าพิเศษ มันอาจจะเป็นความฝัน ความหวัง ความคิดสารพัดที่แล่นเข้ามาในสมอง

    こんなこといいな できたらいいな
    (คอนนะโคะโตะอิอินะ เดะคิตะระอิอินะ)

    เรื่องอย่างนี้ดีจังเลย ถ้าทำได้ละก็ยอดไปเลยนะ

    แต่เมื่อมันไม่เป็นเหมือนที่คาดฝัน ก็เป็นความฝันที่ทึกทักไปเอง ที่กลับมาทำร้ายตัวเองเช่นกัน

  • แด่รักในสายลม

    ความกดอากาศที่ต่าง ก่อให้เกิดสายลมที่พัดผ่าน
    อากาศร้อนลอยตัวสูง เย็นลงและจมต่ำอีกครั้ง พัดผ่านจนเกิดเป็นลม

    รักที่ลอยไปคงคล้ายสายลม แต่รักมิได้ก่อตัวจากความต่างของความกดอากาศ
    หากเป็นการก่อตัวของอารมณ์ และความรู้สึกหลายๆ อย่าง
    อาจจะทั้งตัวความรักเอง และอารมณ์อื่น เช่นชอบ โกรธ เกลียด เหงา คิดถึง
    เป็นอำนาจที่ต่างกัน คานและกำหนดทิศทางของรักให้ลอยไปทางใดทางหนึ่ง

    วันเวลาผันผ่าน สายลมหวนทิศกลับ
    ความรู้สึกและอารมณ์อาจมีเปลี่ยน รักที่ลอยผ่านอาจเปลี่ยนวิถี
    ช้าลง เร็วขึ้น กลับทิศ สลับหันเหตามอารมณ์ที่กำหนดทิศทาง

    แต่หากมีลมประจำฤดูพัดผ่านทิศทางเดิมเสมอ ไม่เปลี่ยนไปฉันใด
    ฤดูรักก็คงนำรักไปยังจุดหมายเดิมไม่เปลี่ยนฉันนั้น

    และรักนั้นเมื่อได้สัมผัส ก็ชื่นใจเหมือนดั่งสายลม


    Edit: มีคนส่งมาให้ฟัง และเพิ่งเคยฟัง เพราะดีจริงๆ แหละ ขอบคุณอีกครั้งนะ