ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผมชอบจมกับอดีต
แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามีอะไรที่ทำให้ผมชื่นใจได้เหมือนตอนหลับตาลงไปแล้วคุณอยู่ใกล้ๆ อีกครั้ง
ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ผมชอบจมกับอดีต
แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามีอะไรที่ทำให้ผมชื่นใจได้เหมือนตอนหลับตาลงไปแล้วคุณอยู่ใกล้ๆ อีกครั้ง
คืนนี้จะมีฝนดาวตกควอดแรนดทิดส์
ท้องฟ้าซีกเหนือ ตั้งแต่เวลายี่สิบเอ็ดนาฬิกา อัตราสูงสุดหนึ่งร้อยยี่สิบดวงต่อชั่วโมง
ผมเตรียมแอปเข็มทิศ ออกไปนอกบ้าน
เมฆเต็มท้องฟ้า บังฝนดาวตก
นอกจากผมอยากดูฝนดาวตกแล้ว ผมยังเชื่อเรื่องบ้าๆ ที่ว่าอธิษฐานกับฝนดาวตกแล้วจะเป็นจริง
ผมมองท้องฟ้า สายตาเห็นเมฆ
ในใจยังคงดื้อดึงอธิษฐาน ขอให้มีคนพิเศษเข้ามาอีกครั้ง
ในใจยังเชื่อว่าต้องมีจริง แม้ยังมองไม่เห็น — เหมือนฝนดาวตกคืนนี้ ที่แม้มองไม่เห็น แต่ก็มีอยู่
รักคืออะไร
สำหรับผม รักอาจจะเป็นเมสเสจทักทายกันตอนเช้า
เป็นยิ้มเล็กๆ หลังจากเจอหน้า
เป็นคำถามว่ากินข้าวยังสามมื้อทุกวัน
หรือคำถามว่าสบายดีไหม เป็นไข้หรือเปล่า
รักอาจจะเป็นการนั่งข้างๆ กันตอนขึ้นรถ
การชวนกันไปเที่ยวเล่น ลุยหาของกิน เดินส่องของในห้าง
เป็นเค้กอร่อยๆ หลังจากอาหารมื้อกลางวัน หรือเป็นรอยยิ้มหลังจากอีกฝ่ายได้กินเค้กอร่อยๆ นั่น
อาจจะเป็นเมสเสจที่ถามไถ่ว่าถึงบ้านแล้วใช่ไหม
รักอาจจะเป็นอ้อมกอดตอนที่อยากร้องไห้ออกมา
อาจจะเป็นคำปลอบใจตอนที่เรากำลังรู้สึกไม่มีใคร
เป็นคำบอกว่าไม่เป็นไรนะ เป็นมืออุ่นๆ ที่มาลูบหัว — นี่ก็อาจเป็นรัก
รักอาจจะเป็นการใช้เวลาร่วมกัน
การเข้าใจกัน เทคแคร์กัน ปล่อยให้ชีวิตของทั้งสอง intersect ในจุดที่จะไม่ยอมให้ใครเข้ามา
รักอาจจะเป็นการตกลงว่าจะอยู่ด้วยกันทั้งตอนดีและตอนร้ายไปตลอดโดยไม่ไปไหนง่ายๆ
อาจจะดูยาว แต่คิดดีๆ แล้วนั่นก็เป็นทุกอย่างที่คุณทำกับผม
และถ้าผมบอกได้ว่าทุกอย่างข้างต้นนั่นคือ “คุณ”
งั้นสำหรับผม รักก็คือคุณ
สุดท้ายนี้ สำหรับปีนี้ ต้องขอบคุณ
ขอให้ทุกคนมีพลังเดินต่อในปีหน้าที่จะถึง และปีต่อๆ ไปนะครับ
สุขสันต์ปีใหม่ล่วงหน้าครับ 😀
คืองี้เว้ยคุณ
ผมอาจจะระบายปัญหาใส่ใครได้เป็นสิบคน
อาจจะเป็นคนที่พร้อมช่วยคนอื่นตอนที่คนอื่นแย่
อาจจะอยากฮาเฮกับเพื่อน อยากกินข้าว เปิดตี้
ตอนผมเศร้าผมก็อาจจะบ่นลงทวิต ซึ่งก็ช่วยให้ผมรู้สึกดีได้เหมือนกัน
แต่ถ้าผมเลือกได้ที่จะบ่นกับใครสักคน
หรือเป็นคนที่ใครสักคนคิดถึงตอนเค้ามีปัญหา
เป็นตัวเลือกแรกของกันและกันที่จะออกไปกินข้าว เดินสยาม ลั้นลา
หรือแม้แต่นั่งผลาญเวลายามบ่ายเล่นในสวนสาธารณะสักที่
งอนกัน ง้อกัน เฮฮากัน เศร้าด้วยกัน
วาดฝันว่าตอนโตจะมีเค้านอนข้างๆ ทุกเช้า ปลุกกันและกันด้วยจูบเบาๆ ที่หน้าผาก
ลูบหัวก่อนนอน บอกฝันดีทุกคืน และผลอยหลับใต้อ้อมกอดอุ่นๆ
มาเป็นคนที่จะแคร์กัน เป็นห่วงกัน พร้อมสแตนด์บายให้กัน
เข้าใจกันและดูแลกันเป็นพิเศษเนี่ย
ก็อยากให้เป็นคุณ
“แทน มีฟอนต์อะไรแนะนำป่ะ”
“มี”
ผมตอบ พลางเปิดเว็บกูเกิลฟอนต์ โหลดฟอนต์ให้เพื่อน
ข้อความหลายรูปแบบขึ้นมาแสดงตัวอย่างฟอนต์ที่ต่างกัน สายตาสะดุดข้อความหนึ่ง
“การเดินทางขากลับคงจะเหงา”
การเดินทางคนเดียวคงจะเหงา?
ผมนั่งครุ่นคิดถึงวลีนี้ ไม่รู้เพราะอะไรทำให้ผมจำคำว่า “ขากลับ” เป็นคำว่า “คนเดียว”
อาจจะเป็นเพราะผมมาคนเดียว หรือเพราะผมรู้สึกคนเดียวมานานแล้ว
ถ้าแบบนั้น การเดินทางคนเดียว ไม่ว่าขาไปหรือขากลับ ก็เหงาเหมือนกัน?
มีคนบอกว่าการเดินทางคือการเปิดโลกอีกใบ ฉีกวิถีชีวิตเก่าออกไปทำสิ่งใหม่
เราอาจเจอเพื่อนร่วมทางในการเดินทางครั้งใหม่
ได้เปิดโลก ได้พูดคุย เห็นสิ่งแปลกใหม่
ผมนึกถึงเมื่อสมัยผมมีคนเดินทางด้วย เราไปเที่ยวที่ซ้ำๆ เดิมๆ
แต่การเดินทางทุกครั้งเมื่อมีเธอ มันก็ทำให้อบอุ่น
เราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าที่เดิมๆ คนเดิมๆ สามารถสร้างความรู้สึกใหม่ๆ ได้เรื่อยๆ
ความรู้สึก ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ ถูกเก็บซ่อนในสถานที่ เรียกคืนได้เพียงเมื่อมาเยือนมันอีกครั้ง
ผมพอนึกออกแล้วว่าวลี “การเดินทางขากลับคงจะเหงา” หมายถึงอะไร
ผมไม่รู้หรอก ตลอดสี่วันสามคืนที่ผมแบกตัวเองไปเปิดโลก ผมจะเจออะไรบ้าง
แต่หลายสิ่งที่ผมเจอ คงจะอยู่ในความทรงจำ และทำให้ยิ้มออกเมื่อคิดถึงมันทีหลัง
อันที่จริง ปัจจัยแห่งความสุขอย่างหนึ่งที่ผมอยากให้มันฝังลึกในความทรงจำ กลับเป็นคนพิเศษข้างๆ ที่อยู่ด้วยกัน – เมื่อนั้น ทุกภาพที่มีเธอคงมีความหมาย
เรากับที่แห่งความทรงจำถูกพรากด้วยระยะทาง และเวลา เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้กลับมนเก็บกลิ่นของความรู้สึก ณ ที่เดิม
ต่อให้ระยะทางใกล้เพียงเดินครู่หนึ่ง ต่อให้เวลาใกล้เพียงพรุ่งนี้ หากที่แห่งเก่าไม่มีปัจจัยของความสุขเหมือนการมาเยือนครั้งก่อนๆ สิ่งที่ได้จากการเดินทางครั้งนั้น คงเป็นเพียงการรำลึกความทรงจำ ไม่ใช่การสร้างมัน
เมื่อนั้น การเดินทางขากลับคงจะเหงา
ผมชอบท้องฟ้า
ท้องฟ้าที่ผมชอบเป็นพิเศษอาจจะไม่เหมือนท้องฟ้าที่คนอื่นชอบ ในขณะที่หลายคนชอบท้องฟ้าสีน้ำเงิน ผมกลับชอบที่จะเห็นเมฆเทาตัดกับแดดสีส้ม
เงยหน้ามองท้องฟ้าวันนี้ มันค่อนข้างใกล้เคียงกับท่ีผมชอบ
ผมคิดถึงคนคนหนึ่งที่ดูมีอิทธิพลกับความคิดผมมากๆ ผมถามตัวเองว่าถ้าอยู่กับเธอ ผมจะชอบท้องฟ้าแบบอื่นมากกว่าไหม
บ้าเหรอ คนอะไรเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองชอบได้เพียงเพราะมีคนอยู่ใกล้ๆ คนเดียว
แต่คิดดูอีกที ผมก็เปลี่ยนไปแล้ว – หลายอย่างในตัวผมเปลี่ยนไปเพราะเธอ ผมยิ้มง่ายขึ้น หัวเราะง่ายขึ้น อาจเป็นคนอีกคนที่อยู่ในโลกแบบไม่อมทุกข์
สุดท้ายทั้งท้องฟ้าและเธอก็เป็นต้นกำเนิดความสุขของผม
คำตอบของคำถามว่าถ้าอยู่กับเธอ จะชอบท้องฟ้าแบบอื่นมากกว่าไหม คงเป็นคำว่าชอบกว่า
ไม่ได้ชอบท้องฟ้าแบบอื่นมากกว่านะ แต่ชอบเธอมากกว่า 🙂
โคตรไม่เชื่อมโยงเลย 55555555555555
(1)
เราทุกคนไม่สามารถหลีกหนีการตัดสินใจในแต่ละวันได้
การตัดสินใจมีตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างกินอะไรดี ซื้อขนมไหม จนถึงเรื่องใหญ่ในชีวิต
การตัดสินใจของคนเราอยู่บน constraints ที่แตกต่างกันไป แต่ภายใต้ constraints เหล่านั้น ก็มี factor ที่ทำให้การตัดสินใจแตกต่างกันไปอีก
(2)
อารมณ์และเหตุผลคือสองทางเลือกแห่งการตัดสินใจ
เรื่องบางเรื่องที่เป็นเรื่องของ passion อาจเกิดจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล
แน่นอน อารมณ์นั้นย่อมแปรเปลี่ยน – ภายในอารมณ์ที่แตกต่างกัน เส้นทางการตัดสินใจด้วยอารมณ์ก็ย่อมแตกต่างกันออกไป
เหตุผลคือหน่ึงในขั้วตรงข้ามกับอารมณ์
ภายในเหตุผล เราพบลำดับขั้นตอนการตัดสินใจที่ชัดเจนกว่าอารมณ์ เหตุผลก่อให้เกิดทางเดินสู่การแก้ปัญหาที่ค่อนข้างทำตามได้อย่างแน่ชัด ผลลัพธ์การตัดสินใจตายตัวกว่า
(3)
เหตุผลไม่ใช่เหตุผลเสมอไป
บางครั้งเหตุผลก็เกิดขึ้นหลังอารมณ์และหลังการตัดสินใจ เป็นอารมณ์ที่ drive ให้เกิดการตัดสินใจ ส่วนเหตุผลตามมาทีหลังในฐานะ “ข้ออ้าง”
(4)
เรากำลังตัดสินใจอะไรแย่ๆ ด้วยอารมณ์อยู่ไหม?
หากเราตัดอารมณ์ออกไป การตัดสินใจของเราจะอิงเหตุผลด้วยอัตราส่วนมากขึ้น ถึงจุดนั้นการตัดสินใจของเราก็กำลังจะอยู่ในจุดที่ optimum ใช่ไหม?
(5)
แล้วเรารู้ได้ไงว่าการตัดสินใจนั้นแย่?
การตัดสินใจอะไรบางอย่างทำไมเราต้องหาเหตุผลมารองรับตลอดเวลา หรือเพราะมันฟังดูมีข้ออ้างกว่าการใช้อารมณ์ เราเลยรู้สึกรับมันได้มากกว่า?
ถึงกระนั้นแล้ว การตัดสินใจตัดสินว่าการตัดสินใจของคนอื่นนั้นแย่หรือไม่แย่ หากนับว่าเป็นการตัดสินใจที่มองเพียงเหตุผล ก็รับว่าเป็นการตัดสิน (ใจ) ที่แย่?
(6)
ดูเหมือนจะเป็นข้อเท็จจริงว่าคนเราไม่สามารถหลีกหนีอารมณ์ได้
หากมองว่าอารมณ์ทำให้ความเป็นเหตุเป็นผลลดลง ก็คงมองได้ว่าเราควรเฉือนมันทิ้งไปเสียหรือเปล่า?
หากมองว่าอารมณ์ทำให้เราตัดสินใจตามหลักความเป็นจริงของโลก (ที่ไม่ใช่ทุกอย่างเป็นอุดมคติ และไม่ใช่ทุกอย่างที่มีเหตุผล) มันก็ควรเป็นหนึ่งใน factor ที่เรานำมาตัดสินใจ และเผลอๆ อาจจะมากกว่าเหตุผลด้วยซ้ำหรือเปล่า?
ถึงจุดนี้ การตัดสินใจจะเป็นอะไรที่ยากหรือเปล่า?
เมื่อเรื่องที่เราตัดสินใจไม่ใช่เรื่องที่ “ง่าย” เหมือนว่ากลางวันนี้จะกินอะไร เราก็มีโอกาสตัดสินใจแย่ๆ
แล้วเรากำลังตัดสินใจแย่ๆ อยู่หรือเปล่า?
วนไปย่อหน้าที่ 4 และ 5 อีกรอบ
ดูเป็นลูปที่ไม่รู้จบ
มึงต้องการอะไร?
ปล. ขออภัยในความขุ่นเคืองและ “หัวร้อน” จากการสนทนาเรื่องนี้กับมิตรสหายทุกท่าน
เขาถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าการรอคอยมีค่าจริงๆ เหรอ?
เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งเค้าเคย “อ้าง” ว่าตัวเองเคยรอ – มันกินเวลานานใช้ได้ กับคำถามว่าเมื่อไหร่จะถึงวันนั้น
มโนทัศน์ในหัวตัดมาเวลาปัจจุบัน กับการรอคอยครั้งใหม่
เป็นการรอคอยที่ท้าทายขึ้น เพราะไม่ใช่แค่คำถามว่าเมื่อไหร่ แต่ยังเป็นคำถามว่า “มีโอกาสแค่ไหน”
คำถามเพิ่มหนึ่งข้อ ความหนักใจเพิ่มขึ้นนับสิบเท่า
เพราะหนักใจกว่าการรอเป้าหมายที่มาถึง คือรอเป้าหมายว่าจะมีอยู่จริงไหม
ฝนเริ่มปรอย บรรยากาศทำเขาเศร้า น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาช้าๆ บางทีก็อยากหนีการรอคอยไปไกลๆ
อันที่จริงเขาจะเดินหนีก็ได้ – โลกนี้มีถนนนับพันสายให้เขาเลือกเดิน แต่ละสายมีเป้าหมายที่ต่างกันให้รอ แน่นอนเวลารอก็ต่างกัน บางสายอาจแทบรอไม่นาน
แต่คำถามใหม่ก็เข้ามาในหัว ในเมื่อเขาต้องรออยู่แล้ว สู้รอวันที่เขาอยากให้มาถึงจริงๆ ไม่ดีกว่าหรือ? จะฝืนรอสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองไปทำไม?
เขานึกถึงประโยคที่พร่ำบอกตัวเองวันนั้นว่าการรอคอยทำให้คนสมหวัง
ถ้าสิ่งที่เขารอมาถึงจริงๆ บางครั้งการร้องไห้ตลอดทางที่รอก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
เขามองนาฬิกา ยิ้มให้ตัวเอง
อาจจะนานหน่อย แต่เขาจะรอ
“ผมดีใจนะที่ได้รู้จักคุณ”
“เช่นกันนะ”
“แต่ผมก็ไม่ดีใจที่ได้รู้จักคุณ”
บรรยากาศเปลี่ยนไปในบัดดล
“คุณรังเกียจฉัน?”
“ไม่เลย ไม่แม้แต่นิดเดียว”
“คุณไม่ชอบฉัน?”
“ถ้าเช่นนั้นผมคงไม่ดีใจที่ได้เจอคุณ”
“แล้วทำไมคุณไม่ดีใจที่ได้รู้จักฉัน”
“อันที่จริงก็ไม่ใช่ไม่ดีใจที่ไม่รู้จัก แต่ไม่ดีใจกับความสัมพันธ์นี้ จะเรียกว่าไม่ดีใจก็ไม่ถูกสักเท่าไหร่”
“เราโกรธกัน?”
“ไม่ คุณดีกับผมมาก”
“แล้วเพราะอะไรล่ะ ถึงไม่ดีใจ อยากเป็นคนแปลกหน้าเหรอ?”
เขาคิดถึงวันที่เขาร้องไห้ใส่เธอ วันที่เขารู้สึกไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
“เพราะผมอยากให้มันเป็นฝัน ฝันที่ผมหวนไปหาได้เพียงแค่หลับตาแล้วนอน”
“แปลว่าคุณไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริง?”
“ไม่เลย! ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ผมดีใจมากที่มันไม่ใช่แค่ฝัน”
เขาเงียบชั่วขณะ เสียงสั่นขึ้น
“ฝันแล้วยังมีคืนอื่นให้ฝัน แต่คุณจากผมในโลกแห่งความจริง โอกาสหวนคืนคงริบหรี่”
“คุณกลัว?”
“ไม่มีใครไม่กลัวอะไรด้วยเหรอ?”
“ก็คงไม่มี”
“ถ้าคุณเป็นคนทำให้ผมรู้สึกมั่นคง ผมก็อยากมีโอกาสใกล้กับคุณเสมอ เพียงหลับตาแล้วฝัน”
“แล้วถ้าวันนึงคุณไม่ฝัน?”
“ผมก็ยังปลอบใจตัวเองได้ว่ามันเป็นฝัน แต่คุณทิ้งผมไปในความจริง ผมไม่มีข้อปลอบใจ”
เธอจ้องหน้าเขา รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้า
“คุณก็ยังคงเป็นคนเดิมจริงๆ”
“ก็คงแบบนั้น ผมเหมือนเดิมแต่ทุกสิ่งอาจเปลี่ยนไป”
“เอาเข้าจริง คุณดีใจที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ คุณแค่กลัวอนาคตสินะ”
เขาพยักหน้าเบาๆ
“งั้นฉันก็ไม่ทิ้งคุณ”
น้ำตาเขาค่อยๆ ไหล หยดสู่หยด ถึงเป็นน้ำตาแต่ไม่มีความเศร้า
“งั้นผมก็ไม่อยากให้เป็นแค่ฝัน”