Category: Writings

  • ฝนดาวตก

    คืนนี้จะมีฝนดาวตกควอดแรนดทิดส์
    ท้องฟ้าซีกเหนือ ตั้งแต่เวลายี่สิบเอ็ดนาฬิกา อัตราสูงสุดหนึ่งร้อยยี่สิบดวงต่อชั่วโมง

    ผมเตรียมแอปเข็มทิศ ออกไปนอกบ้าน


    เมฆเต็มท้องฟ้า บังฝนดาวตก

    นอกจากผมอยากดูฝนดาวตกแล้ว ผมยังเชื่อเรื่องบ้าๆ ที่ว่าอธิษฐานกับฝนดาวตกแล้วจะเป็นจริง

    ผมมองท้องฟ้า สายตาเห็นเมฆ

    ในใจยังคงดื้อดึงอธิษฐาน ขอให้มีคนพิเศษเข้ามาอีกครั้ง
    ในใจยังเชื่อว่าต้องมีจริง แม้ยังมองไม่เห็น — เหมือนฝนดาวตกคืนนี้ ที่แม้มองไม่เห็น แต่ก็มีอยู่

  • รักคืออะไร

    รักคืออะไร

    สำหรับผม รักอาจจะเป็นเมสเสจทักทายกันตอนเช้า
    เป็นยิ้มเล็กๆ หลังจากเจอหน้า
    เป็นคำถามว่ากินข้าวยังสามมื้อทุกวัน
    หรือคำถามว่าสบายดีไหม เป็นไข้หรือเปล่า

    รักอาจจะเป็นการนั่งข้างๆ กันตอนขึ้นรถ
    การชวนกันไปเที่ยวเล่น ลุยหาของกิน เดินส่องของในห้าง
    เป็นเค้กอร่อยๆ หลังจากอาหารมื้อกลางวัน หรือเป็นรอยยิ้มหลังจากอีกฝ่ายได้กินเค้กอร่อยๆ นั่น
    อาจจะเป็นเมสเสจที่ถามไถ่ว่าถึงบ้านแล้วใช่ไหม

    รักอาจจะเป็นอ้อมกอดตอนที่อยากร้องไห้ออกมา
    อาจจะเป็นคำปลอบใจตอนที่เรากำลังรู้สึกไม่มีใคร
    เป็นคำบอกว่าไม่เป็นไรนะ เป็นมืออุ่นๆ ที่มาลูบหัว — นี่ก็อาจเป็นรัก

    รักอาจจะเป็นการใช้เวลาร่วมกัน
    การเข้าใจกัน เทคแคร์กัน ปล่อยให้ชีวิตของทั้งสอง intersect ในจุดที่จะไม่ยอมให้ใครเข้ามา
    รักอาจจะเป็นการตกลงว่าจะอยู่ด้วยกันทั้งตอนดีและตอนร้ายไปตลอดโดยไม่ไปไหนง่ายๆ

    อาจจะดูยาว แต่คิดดีๆ แล้วนั่นก็เป็นทุกอย่างที่คุณทำกับผม

    และถ้าผมบอกได้ว่าทุกอย่างข้างต้นนั่นคือ “คุณ”
    งั้นสำหรับผม รักก็คือคุณ

  • แอร์พอร์ต เอ็กซ์เพรส

    ไอเอฟซีมอลล์
    เอ็มทีอาร์ สถานีฮ่องกง
    34 กิโลเมตรจากสนามบินฮ่องกง, รวม 1722 กิโลเมตรจากประเทศไทย

    hk_13_0699

    ไอเอฟซีมอลล์คือห้างสรรพินค้าขนาดใหญ่ในกลางฮ่องกง

    ร้านค้าแบรนด์หลากร้านตั้งอยู่ในตึกนี้ โถงของตึกเป็นที่ทำการของจุดเช็คอินสายการบินต่างๆ สำหรับผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เอ็กซ์เพรส

    รถไฟฟ้าสายนี้เป็นเส้นทางที่เร็วและสบายที่สุดในการเดินทางจากใจกลางฮ่องกงสู่เกาะเช็คแลปก๊ก – ที่ตั้งของสนามบินฮ่องกง – ด้วยเวลาเพียง 24 นาที

    ผมแปะบัตรโดยสารเข้าสู่พื้นที่ชานชลา – ระยะห่างระหว่างประตูกั้นกับรถไฟฟ้าน่าจะไม่เกินสิบเมตร

    ใช้เวลาอึดใจเดียวรอรถไฟฟ้าเทียบชานชลา ประตูรถเปิดออก ผมขึ้นนั่งบนรถ สายตาพลันสังเกตชายคนหนึ่งในชุดสูทโบกมือให้กับครอบครัวที่มาส่ง เขาคงไปทำธุรกิจอะไรต่างประเทศ

    รถไฟฟ้าค่อยๆ ออกตัว ทันทีที่มันเดินทางเข้าไปในอุโมงค์ ภาพที่เห็นก็เหลือเพียงความมืด กำแพงคอนกรีตกั้นแสงที่เดินทางจากครอบครัวนั้นไม่ให้ไปสู่สายตาของชายในชุดสูท

    ขณะที่ “ระยะห่างจากบ้าน” ของเรากำลังลดลงช้าๆ “ระยะห่างจากบ้าน” ของใครบางคนก็ค่อยๆ เพิ่ม ทั้งที่เราเดินทางในเส้นทางเดียวกัน


    รถไฟฟ้าเอ็มทีอาร์ สถานีซันนี่เบย์

    ซันนี่เบย์คือชื่อสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้ม และรถไฟฟ้าสายดิสนีย์แลนด์

    ผมมาที่นี่เมื่อสองวันก่อน และชอบในความร่มรื่น

    รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เอ็กซ์เพรสไม่จอดที่สถานีนี้ มันขับผ่านไปด้วยความเร็วสูง ผมมีเวลามองสถานีนี้ไม่นาน

    เมื่อไหร่จะได้กลับมา?

    สายตามองไปทั่วขบวนรถ ชายในชุดสูทคนนั้นจะคิดอะไรอยู่

    hk_13_0704

    บางทีเราก็ไม่อยากให้การเดินทางมันจบ

    “แอร์พอร์ท สเทชัน” เสียงประกาศหนึ่งดังขึ้น
    ผมลุกจากที่นั่ง มือคว้าสัมภาระ


    สนามบินฮ่องกง (HKG)
    1688 กิโลเมตรจากสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย

    hk_13_0739

    ผมเดินผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง ตั๋วเครื่องบินระบุชื่อและจุดหมายที่จะไป – มันคงไม่พ้นกรุงเทพมหานคร

    แน่นอน – ผมแยกกับชายคนนั้นที่ชานชลาของรถไฟ เราต่างเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน

    ไม่ใช่แค่ระยะทางระหว่างผมกับประเทศไทยที่กำลังจะลดลง แต่เวลาที่ผมมีที่ฮ่องกงก็กำลังจะหมดลงเช่นกัน

    นั่งแช่ในเลานจ์ไม่นานก่อนไปที่เกต

    อัพสเตตัสเฟซบุ๊คส่งท้าย พลันเสียงประเทศเรียกขึ้นเครื่องดังขึ้น


    สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก เที่ยวบินที่ 709
    เครื่องบินโบอิ้ง 777-300 ชั้นประหยัด

    hk_13_0771

    กิน ดูหนัง นอน.

    อีกครู่หนึ่งพอตัว เสียงประกาศให้คาดเข็มขัดดังขึ้น

    แน่นอนว่าเรากำลังจะลงจอด


    สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย
    0 กิโลเมตรจากสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย

    การเดินทางของผมจบแล้ว ผมมองชาวต่างชาติในเที่ยวบิน
    ในขณะที่การเดินทางของเราเป็นการนับถอยหลังระยะทางจากบ้าน สำหรับใครหลายๆ คนในเส้นทางเดียวกัน ก็อาจเป็นการนับระยะทางที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

    ป่านนี้ชายคนนั้นจะอยู่ที่ไหน มันคงไม่สำคัญ

    ผมรู้แค่ ในขณะที่เรานับถอยหลังเวลาที่ได้ใช้ในที่แปลกตา บางคนก็อาจนับวันเวลาที่เขาต้องรอเพื่อที่จะได้ออกไปที่ใหม่ๆ

    บทบาทและสถานะของการรอคอยเปลี่ยนไปตามสถานที่และโอกาส

    ในขณะที่เรารอคอยการได้ออกไปที่ไหนใหม่ๆ สักแห่ง
    ใครบางคนก็กำลังรอคอยการกลับมาที่เก่าๆ เช่นกัน

  • 2016 in review

    2016 in review

    • ปี 2016 เป็นปีที่ค่อนข้างเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก ทั้งการเปลี่ยนแปลงและหลายสิ่งที่พบเจอ บางอย่างทิ้งทวนมาจากปี 2015 ในขณะเดียวกันก็เป็นปีที่ทำให้ได้พบตัวเองลึกๆ เหมือนกัน
    • ตั้งแต่ช่วงต้นปีก็ทะเลาะกับแฟนเก่า จนห่างออกไปตั้งแต่กุมภาพันธ์สิริรวมเวลาที่คบกันก็เกือบจะสามปี (เกือบจริงๆ ขาดไปวันเดียว)
      • ก็ทำให้รู้ว่าตัวเองนั้นก็งี่เง่าพอตัว และหลังจากนั้นก็เหมือนจะระวังอะไรมากขึ้น
    • จบจากโรงเรียนเก่าก็น่าจะนับว่าเป็นการ transit จาก comfort zone พอสมควร แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องออกเดินทาง

    ชีวิตกับคอม

    • ได้มีโอกาสจับงานโค้ดจริงๆ จังๆ ก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าเป็นภาษาที่ขายได้ไหม แต่ก็พอโอเค
    • อยู่ในช่วงกำลังสับสนว่าเรีนยคอมมาแล้วควรไปสายไหน อยากไปทั้ง sysadmin, web dev และ machine learning
      • มีคนแซวให้ทำ service บนเว็บที่อิงจาก machine learning แล้ว deploy พร้อม maintenance เองอื้ม -__-

    ชีวิตกับภาคคอม

    • มหาลัยคือการเริ่มทุกอย่างใหม่ ทั้งเพื่อน สังคม และการจัดการตัวเอง
    • โชคดีมากที่เพื่อนภาคน่ารักกันมากๆ หลายคนเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นและเข้าใจนิสัยอีเฮด
      • ขอบคุณที่บางครั้งเราแย่ใส่แล้วยังเข้าใจและให้อภัย
    • กลับกลายเป็นว่าหลายๆ อย่างที่เรารู้สึกแย่เราดีขึ้นได้เพราะเพื่อนภาคนี่ละ
      • ถึงบางคนหลายๆ คน ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว: กลายเป็น comfort zone ของเราแล้วกรุณาอย่าหนีเรานะ
    • จากที่รู้สึกตัวเล็กอยู่แล้ว กลับรู้สึกจิ๋วไปอีก สังคมและโลกมันกว้างเนอะ
    • อีกครั้งหนึ่ง (ถึงคนที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว) ขอบคุณสำหรับความเข้าใจนี้ และขอบคุณสำหรับพื้นที่หลายๆ อย่าง

    หัวใจ

    • ข้ามไปยาวๆ เป็นปีที่ distract และตามหาคำตอบของอะไรที่เป็นนามธรรมพอสมควร
    • ทุกคนที่ล้อมรอบล้วนบอกว่าคิดเชี่ยอะไรเยอะวะ

    To move forward

    • อยากจับ Machine learning จริงๆ จังๆ สักที คิดว่าจะมีโอกาส
    • เหมือนที่เขียนในบล็อกว่าอยากทำให้โลกนี้ดีขึ้น มีเวลาอีกไม่กี่วันในการคิด
    • เลิกคิดมาก ช่างๆ แม่งไปเถอะ
    • อยากทำอะไรก็ทำไปเลย no excuse please

    Thanks

    สุดท้ายนี้ สำหรับปีนี้ ต้องขอบคุณ

    • มิตรทั้งหลายที่โรงเรียนเก่าที่ยังไม่ลืมกัน
      • หลายคนก็ยังเป็นกัลยาณมิตรที่ดี และเป็นที่ปรึกษาให้เราอย่างเสมอมา ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับอีเพื่อนประถมหอใน อีนก ประธานฯ ผู้รายล้อมด้วยเมีย อีพี่หมอทไวไลต์ ตล. พี่หมอสแนปถี่ และทุกคนที่ยังพยายาม keep in touch เสมอมา
        • เออ เรียกชื่อแบบนี้แล้วต่างฝ่ายต่างมั่นใจว่าเป็นใครมั่งก็แปลว่าดีเนอะ 🙂
      • ขอบคุณและขอโทษสำหรับคนที่เคยสนิทแต่ไม่ค่อยได้คุยกันแล้วด้วยนะ ยังคิดถึงอยู่หลายคนพอตัว
    • เพื่อนภาคและพี่ภาค
      • แน่นอนว่าหลายคน back up เราไว้ได้พอสมควร ขอบคุณเป็นพิเศษ
      • และขอบคุณ CPE30, It wouldn’t be like this if it’s not all of you!
    • ขอบคุณแฟนเก่าที่ยังมีมิตรจิตอันดีต่อกัน
    • ขอบคุณผองเพื่อนทั้งทางเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิตกันและกัน หลายคนที่เราได้คุยด้วย เรายินดีนะครับ :3
    • สุดท้ายกับคนที่ยังสำคัญที่สุด ขอบคุณครอบครัว ทั้งพ่อและแม่ ลุงป้าน้าอา อีน้องชายที่กำลังสอบก็ขอให้อ่านหนังสือให้หนักนะ 555555

    ขอให้ทุกคนมีพลังเดินต่อในปีหน้าที่จะถึง และปีต่อๆ ไปนะครับ

    สุขสันต์ปีใหม่ล่วงหน้าครับ 😀

  • อยากให้เป็นคุณ

    คืองี้เว้ยคุณ

    ผมอาจจะระบายปัญหาใส่ใครได้เป็นสิบคน
    อาจจะเป็นคนที่พร้อมช่วยคนอื่นตอนที่คนอื่นแย่
    อาจจะอยากฮาเฮกับเพื่อน อยากกินข้าว เปิดตี้
    ตอนผมเศร้าผมก็อาจจะบ่นลงทวิต ซึ่งก็ช่วยให้ผมรู้สึกดีได้เหมือนกัน

    แต่ถ้าผมเลือกได้ที่จะบ่นกับใครสักคน
    หรือเป็นคนที่ใครสักคนคิดถึงตอนเค้ามีปัญหา
    เป็นตัวเลือกแรกของกันและกันที่จะออกไปกินข้าว เดินสยาม ลั้นลา
    หรือแม้แต่นั่งผลาญเวลายามบ่ายเล่นในสวนสาธารณะสักที่
    งอนกัน ง้อกัน เฮฮากัน เศร้าด้วยกัน
    วาดฝันว่าตอนโตจะมีเค้านอนข้างๆ ทุกเช้า ปลุกกันและกันด้วยจูบเบาๆ ที่หน้าผาก
    ลูบหัวก่อนนอน บอกฝันดีทุกคืน และผลอยหลับใต้อ้อมกอดอุ่นๆ
    มาเป็นคนที่จะแคร์กัน เป็นห่วงกัน พร้อมสแตนด์บายให้กัน
    เข้าใจกันและดูแลกันเป็นพิเศษเนี่ย

    ก็อยากให้เป็นคุณ

  • อคติที่ทำให้เรามองบางอย่างเปลี่ยนไป

    [เขียนโดยสรุปความรู้สึกตัวเองจากการอ่าน Medium และพูดคุยกับคุณแพค ต้องขอบคุณอย่างสูง ณ ที่นี้มากครับ]

    อคติทำให้เรารับเหตุผลข้างเดียว

    เมื่อคนเรามีอคติก่อตัว เป็นความจริงที่ว่าเราเลือกรับฟังเหตุผลน้อยลง และเลือกที่จะ “มอง” จุดผิดพลาดของคนอื่นมากขึ้น

    และเมื่อเรามองจุดผิดพลาดของคนอื่นมากขึ้น ถึงวันหนึ่งที่เขาล้ม เราก็อาจเหยียบย่ำเค้า

    หากถามว่าการมองข้อผิดพลาดคนอื่นและเลือกที่จะฝังติดตรึงมันเป็นเรื่องเลงร้ายไหม ผมและหลายคนอาจจะบอกว่ามันปกติ

    แต่หากมองลึกลงไป เมื่อเรื่องเหล่านี้ก่อตัวเป็นเมฆครึ้มที่ปิดความใจกว้าง เมื่อนั้นเราก็อาจเลือกปฏิบัติกับผู้ที่เรามีอคติด้วยต่างออกไป

    หากถึงจุดหนึ่งที่เราเหยียบย่ำ ซ้ำเติม และกดหัวคนผิดพลาดให้เราจมปลัก นั่นก็หมายถึงเรากำลังปฏิบัติต่อเขาในรูปแบบที่ไม่ใกล้กับสิ่งที่เราปฏิบัติกับเพื่อนมนุษย์

    สุดท้ายแล้ว แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากเราเลือกที่จะไม่ “ก้าวข้าม” อคติและความรู้สึกแย่ต่อใครสักคน เมื่อถึงจุดวิกฤติ เราก็คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเรากำลังลดทอนความเป็นคนของใครสักคนอยู่ช้าๆ เช่นกัน

  • การเดินทางขากลับคงจะเหงา

    “แทน มีฟอนต์อะไรแนะนำป่ะ”

    “มี”

    ผมตอบ พลางเปิดเว็บกูเกิลฟอนต์ โหลดฟอนต์ให้เพื่อน
    ข้อความหลายรูปแบบขึ้นมาแสดงตัวอย่างฟอนต์ที่ต่างกัน สายตาสะดุดข้อความหนึ่ง

    untitled

    “การเดินทางขากลับคงจะเหงา”


    p_20161110_093917

    การเดินทางคนเดียวคงจะเหงา?

    ผมนั่งครุ่นคิดถึงวลีนี้ ไม่รู้เพราะอะไรทำให้ผมจำคำว่า “ขากลับ” เป็นคำว่า “คนเดียว”

    อาจจะเป็นเพราะผมมาคนเดียว หรือเพราะผมรู้สึกคนเดียวมานานแล้ว

    ถ้าแบบนั้น การเดินทางคนเดียว ไม่ว่าขาไปหรือขากลับ ก็เหงาเหมือนกัน?


    มีคนบอกว่าการเดินทางคือการเปิดโลกอีกใบ ฉีกวิถีชีวิตเก่าออกไปทำสิ่งใหม่

    เราอาจเจอเพื่อนร่วมทางในการเดินทางครั้งใหม่
    ได้เปิดโลก ได้พูดคุย เห็นสิ่งแปลกใหม่

    ผมนึกถึงเมื่อสมัยผมมีคนเดินทางด้วย เราไปเที่ยวที่ซ้ำๆ เดิมๆ
    แต่การเดินทางทุกครั้งเมื่อมีเธอ มันก็ทำให้อบอุ่น
    เราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าที่เดิมๆ คนเดิมๆ สามารถสร้างความรู้สึกใหม่ๆ ได้เรื่อยๆ
    ความรู้สึก ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ ถูกเก็บซ่อนในสถานที่ เรียกคืนได้เพียงเมื่อมาเยือนมันอีกครั้ง

    ผมพอนึกออกแล้วว่าวลี “การเดินทางขากลับคงจะเหงา” หมายถึงอะไร


    ผมไม่รู้หรอก ตลอดสี่วันสามคืนที่ผมแบกตัวเองไปเปิดโลก ผมจะเจออะไรบ้าง

    แต่หลายสิ่งที่ผมเจอ คงจะอยู่ในความทรงจำ และทำให้ยิ้มออกเมื่อคิดถึงมันทีหลัง

    อันที่จริง ปัจจัยแห่งความสุขอย่างหนึ่งที่ผมอยากให้มันฝังลึกในความทรงจำ กลับเป็นคนพิเศษข้างๆ ที่อยู่ด้วยกัน – เมื่อนั้น ทุกภาพที่มีเธอคงมีความหมาย

    เรากับที่แห่งความทรงจำถูกพรากด้วยระยะทาง และเวลา เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้กลับมนเก็บกลิ่นของความรู้สึก ณ ที่เดิม

    ต่อให้ระยะทางใกล้เพียงเดินครู่หนึ่ง ต่อให้เวลาใกล้เพียงพรุ่งนี้ หากที่แห่งเก่าไม่มีปัจจัยของความสุขเหมือนการมาเยือนครั้งก่อนๆ สิ่งที่ได้จากการเดินทางครั้งนั้น คงเป็นเพียงการรำลึกความทรงจำ ไม่ใช่การสร้างมัน

    เมื่อนั้น การเดินทางขากลับคงจะเหงา

  • คนเป็นพันล้าน

    “เราโชคดีเนอะที่มีเธอ”
    “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก”
    “ไม่ได้ไงอ่ะ คนบนโลกนี้มีตั้งเจ็ดพันล้านคนรู้ป่ะ”

    “เจ็ดล้านคนบนโลกนี้ เป็นคนไทยแค่หกสิบเจ็ดล้านคน”
    “หนึ่งในหกสิบล้านก็ยังเยอะอยู่ดี”

    “ช่วงอายุสิบห้าถึงยี่สิบสองปีที่เจ็ดล้านสามแสนคน”
    “แล้วเจ็ดล้านสามแสนนี่ไม่เยอะ?”

    “เป็นคนภาคกลางประมาณสามสิบเปอร์เซนต์”
    “เหลือสองจุดสองล้านคน”

    “อัตราการรู้หนังสืออยู่ที่เก้าสิบเปอร์เซนต์”
    “หนึ่งจุดเก้าแปดล้านคน”

    “เป็นพุทธเก้าสิบห้าเปอร์เซนต์”
    “หนึ่งจุดแปดหนึ่งล้านคน”

    “ตีเป็นผู้หญิงที่ครึ่งครึ่งไหม?”
    “ไม่ถึงหนึ่งล้านคน”

    “หนึ่งในเจ็ดพันล้าน เหลือแค่เกือบหนึ่งในล้าน ยังโชคดีอยู่หรือเปล่าล่ะ”


    “งั้นเราถามเธอกลับ รักเคยแบ่งเพศไหม”
    “โอเคยอม แต่คนพุทธคิดเป็นหนึ่งจุดแปดล้านคน”

    “รักไม่ขึ้นกับศาสนา”
    “คนรู้หนังสือที่หนึ่งจุดเก้าแปดล้านคน”

    “รักเป็นอารมณ์ ไม่ใช่ความรู้”
    “ไม่เอาอัตราการรู้หนังสือมาคิด คนภาคกลางก็สองจุดสองล้านคน”

    “รักไม่จำกัดท้องถิ่น”
    “ตามช่วงอายุประมาณบวกลบสามปี ก็ยังสองจุดสองล้านคน”

    “ขอโทษนะ ไม่พูดให้เสียเวลาเลยแล้วกัน รักมันไม่เคยจำกัดอะไรหรอก รู้เหรอว่าคนที่เข้ามาในชีวิตเราจะเป็นคนไทยที่อาศัยในกทม. เป็นเพศหญิง นับถือพุทธ และรู้หนังสือ?”

    “…”

    “จะเป็นล้าน หรือเป็นพันล้าน ก็เป็นเราสองคนที่มาเจอกันและรักกัน เหตุผลแค่นี้พอหรือยังที่จะบอกว่าเราโชคดี?”
    “ก็พอแล้วมั้ง”

    “เข้าใจแล้วใช่ป่ะ”
    “ก็เข้าใจแล้วแหละ…”

    “…เพราะมาคิดๆ ดูอีกที เราก็โชคดีเหมือนกัน”

  • ผมชอบท้องฟ้า

    p_20150712_184201
    ภาพที่ขุดเจอเมื่อชาติที่แล้ว

    ผมชอบท้องฟ้า

    ท้องฟ้าที่ผมชอบเป็นพิเศษอาจจะไม่เหมือนท้องฟ้าที่คนอื่นชอบ ในขณะที่หลายคนชอบท้องฟ้าสีน้ำเงิน ผมกลับชอบที่จะเห็นเมฆเทาตัดกับแดดสีส้ม

    เงยหน้ามองท้องฟ้าวันนี้ มันค่อนข้างใกล้เคียงกับท่ีผมชอบ

    ผมคิดถึงคนคนหนึ่งที่ดูมีอิทธิพลกับความคิดผมมากๆ ผมถามตัวเองว่าถ้าอยู่กับเธอ ผมจะชอบท้องฟ้าแบบอื่นมากกว่าไหม

    บ้าเหรอ คนอะไรเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองชอบได้เพียงเพราะมีคนอยู่ใกล้ๆ คนเดียว

    แต่คิดดูอีกที ผมก็เปลี่ยนไปแล้ว – หลายอย่างในตัวผมเปลี่ยนไปเพราะเธอ ผมยิ้มง่ายขึ้น หัวเราะง่ายขึ้น อาจเป็นคนอีกคนที่อยู่ในโลกแบบไม่อมทุกข์

    สุดท้ายทั้งท้องฟ้าและเธอก็เป็นต้นกำเนิดความสุขของผม

    คำตอบของคำถามว่าถ้าอยู่กับเธอ จะชอบท้องฟ้าแบบอื่นมากกว่าไหม คงเป็นคำว่าชอบกว่า

    ไม่ได้ชอบท้องฟ้าแบบอื่นมากกว่านะ แต่ชอบเธอมากกว่า 🙂

    โคตรไม่เชื่อมโยงเลย 55555555555555

  • You say you love rain

    You say you love rain, but you use an umbrella to walk under it.

    You say you love sun, but you seek shelter when it is shining.

    You say you love wind, but when it comes you close your windows.

    So that’s why I’m scared when you say you love me.

    – Bob Marley

    Yes, I love rain, but sometimes it makes me sick.

    Yes, I love sun, but often it does burn me.

    Yes, I love wind, but things gone bad when it become thunderstorms,

    And yes, I love you, but disappointed love torn me in pieces.