Category: Writings

  • แค่นี้

    เบื้องหน้าของทั้งคู่คืออุกกาบาตมหึมา ขนาดใหญ่พอที่จะทำให้เกิดวิบัติการณ์ทั้งโลก

    อันที่จริงจะบอกว่าเบื้องหน้าของทั้งคู่ก็อาจไม่ถูก ในเมื่อมันอยู่ในสายตาของคนทั้งโลก

    แต่ในโลกของทั้งคู่ มีเพียงเขากับเธอ

    เขาย้อนวันวาน ตั้งแต่วันที่เขามีเธอ ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป เขากล้าพูด เขากล้ายิ้ม กล้าออกเดินทางทำอะไรใหม่ๆ
    เธอย้อนวันวาน ตั้งแต่วันที่เธอมีเขา เธอรู้สึกว่าเธอได้มีใครสักคนที่ได้ทำอะไรให้ ทุกคำปรึกษาของเธอกลั่นออกมาจากหัวใจ
    เธอเป็นคนที่อยู่ตรงนั้นกับเขา จับมือเขาดึงขึ้นมาในวันที่ล้มเสมอ

    เพียงแค่วันนี้แผลที่เกิดคงไม่ใช่แค่แผลถลอกจากการล้ม

    “เธอต้องรู้สึกเธอทำอะไรไม่ได้อีกแล้วแน่เลย” เขาพูดกับเธอ สายตาจ้องมองวัตถุประหลาดชิ้นนั้น
    ไม่มีเสียงตอบ เธอก้มหน้า กัดฟันกลั้นน้ำตา ทุกครั้งที่เขามีปัญหา เธอรู้สึกอยากเป็นคนนั้นที่อยู่ข้างเขาและช่วยเขาจนผ่านไปได้ด้วยดี

    ความเงียบปกคลุมชั่วขณะ เสียงสะอื้นของเธอค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ

    “เธอ”

    สองแขนของเขาโอบเธอช้าๆ เขาดึงเธอมาใต้อ้อมกอด

    “แค่นี้ก็พอแล้ว ขอบคุณมากนะ”

    เธอกอดเขากลับ น้ำตาทั้งคู่ไหลริน
    เอาเข้าจริงวันนี้ก็สวยงาม

  • ในหลวงรัชกาลที่ 9

    เผยแพร่ครั้งแรก 13 ตุลาคม 2559 ณ เฟซบุ๊คส่วนตัว

    ตอนประถมศึกษา ผมเคยถูกทาบทามจากคุณครูให้แข่งพูดสุนทรพจน์
    ถึงแม้จะเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ประโยคแรกของสุนทรพจน์นั้นยังอยู่ในหัวผมตลอดมา

    “What is being a great leader? That is a simple question, but a big role to play.”

    มองย้อนกลับไปเพียงไร บทบาทของท่านในฐานะพระมหากษัตริย์ก็เป็นบทบาทที่ยิ่งใหญ่มาก

    การดูแลความเป็นอยู่ของพสกนิกรร่วมเจ็ดสิบล้านคนเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่ตลอดระยะเวลาที่ท่านอยู่เป็นร่มโพธิ์ของชาวไทยนั้น ทุกคน – ไม่ใช่แค่ชาวไทย – แต่รวมถึงนานาอารยะประเทศ ได้ประจักษ์เห็นแล้วว่าในหลวงของเราทรงเป็นกษัตริย์ที่แข็งแกร่ง และเป็นผู้นำประเทศไทยจนมีวันนี้

    ผมเชื่อว่าแม้สังขารจะล่วงลับ แต่พวกเรา – ประชาชนชาวไทยทุกคน – หรือลูกของพ่อทุกคน จะยังมีภาพของท่านอยู่ในทุกขณะจิต ไม่ว่าจะเป็นในฐานะกษัตริย์ ฐานะผู้นำ หรือผู้ซึ่งเราเดินรอยตามอยู่ในทุกการกระทำ

    ท่านไม่ได้ไปไหนไกลครับ ท่านอยู่ในใจของชาวไทย
    ขอบคุณที่คุ้มครองชาวไทยมาตลอด 70 ปีนะครับ :’)

  • รอ

    เขาถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าการรอคอยมีค่าจริงๆ เหรอ?

    เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งเค้าเคย “อ้าง” ว่าตัวเองเคยรอ – มันกินเวลานานใช้ได้ กับคำถามว่าเมื่อไหร่จะถึงวันนั้น

    มโนทัศน์ในหัวตัดมาเวลาปัจจุบัน กับการรอคอยครั้งใหม่
    เป็นการรอคอยที่ท้าทายขึ้น เพราะไม่ใช่แค่คำถามว่าเมื่อไหร่ แต่ยังเป็นคำถามว่า “มีโอกาสแค่ไหน”

    คำถามเพิ่มหนึ่งข้อ ความหนักใจเพิ่มขึ้นนับสิบเท่า
    เพราะหนักใจกว่าการรอเป้าหมายที่มาถึง คือรอเป้าหมายว่าจะมีอยู่จริงไหม

    ฝนเริ่มปรอย บรรยากาศทำเขาเศร้า น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาช้าๆ บางทีก็อยากหนีการรอคอยไปไกลๆ

    อันที่จริงเขาจะเดินหนีก็ได้ – โลกนี้มีถนนนับพันสายให้เขาเลือกเดิน แต่ละสายมีเป้าหมายที่ต่างกันให้รอ แน่นอนเวลารอก็ต่างกัน บางสายอาจแทบรอไม่นาน

    แต่คำถามใหม่ก็เข้ามาในหัว ในเมื่อเขาต้องรออยู่แล้ว สู้รอวันที่เขาอยากให้มาถึงจริงๆ ไม่ดีกว่าหรือ? จะฝืนรอสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองไปทำไม?

    เขานึกถึงประโยคที่พร่ำบอกตัวเองวันนั้นว่าการรอคอยทำให้คนสมหวัง

    ถ้าสิ่งที่เขารอมาถึงจริงๆ บางครั้งการร้องไห้ตลอดทางที่รอก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

    เขามองนาฬิกา ยิ้มให้ตัวเอง
    อาจจะนานหน่อย แต่เขาจะรอ

  • ฝัน

    “ผมดีใจนะที่ได้รู้จักคุณ”
    “เช่นกันนะ”
    “แต่ผมก็ไม่ดีใจที่ได้รู้จักคุณ”

    บรรยากาศเปลี่ยนไปในบัดดล

    “คุณรังเกียจฉัน?”
    “ไม่เลย ไม่แม้แต่นิดเดียว”
    “คุณไม่ชอบฉัน?”
    “ถ้าเช่นนั้นผมคงไม่ดีใจที่ได้เจอคุณ”
    “แล้วทำไมคุณไม่ดีใจที่ได้รู้จักฉัน”
    “อันที่จริงก็ไม่ใช่ไม่ดีใจที่ไม่รู้จัก แต่ไม่ดีใจกับความสัมพันธ์นี้ จะเรียกว่าไม่ดีใจก็ไม่ถูกสักเท่าไหร่”

    “เราโกรธกัน?”
    “ไม่ คุณดีกับผมมาก”
    “แล้วเพราะอะไรล่ะ ถึงไม่ดีใจ อยากเป็นคนแปลกหน้าเหรอ?”

    เขาคิดถึงวันที่เขาร้องไห้ใส่เธอ วันที่เขารู้สึกไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

    “เพราะผมอยากให้มันเป็นฝัน ฝันที่ผมหวนไปหาได้เพียงแค่หลับตาแล้วนอน”
    “แปลว่าคุณไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริง?”
    “ไม่เลย! ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ผมดีใจมากที่มันไม่ใช่แค่ฝัน”

    เขาเงียบชั่วขณะ เสียงสั่นขึ้น

    “ฝันแล้วยังมีคืนอื่นให้ฝัน แต่คุณจากผมในโลกแห่งความจริง โอกาสหวนคืนคงริบหรี่”
    “คุณกลัว?”
    “ไม่มีใครไม่กลัวอะไรด้วยเหรอ?”
    “ก็คงไม่มี”
    “ถ้าคุณเป็นคนทำให้ผมรู้สึกมั่นคง ผมก็อยากมีโอกาสใกล้กับคุณเสมอ เพียงหลับตาแล้วฝัน”
    “แล้วถ้าวันนึงคุณไม่ฝัน?”
    “ผมก็ยังปลอบใจตัวเองได้ว่ามันเป็นฝัน แต่คุณทิ้งผมไปในความจริง ผมไม่มีข้อปลอบใจ”

    เธอจ้องหน้าเขา รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้า

    “คุณก็ยังคงเป็นคนเดิมจริงๆ”
    “ก็คงแบบนั้น ผมเหมือนเดิมแต่ทุกสิ่งอาจเปลี่ยนไป”
    “เอาเข้าจริง คุณดีใจที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ คุณแค่กลัวอนาคตสินะ”

    เขาพยักหน้าเบาๆ

    “งั้นฉันก็ไม่ทิ้งคุณ”

    น้ำตาเขาค่อยๆ ไหล หยดสู่หยด ถึงเป็นน้ำตาแต่ไม่มีความเศร้า

    “งั้นผมก็ไม่อยากให้เป็นแค่ฝัน”

  • โค้ด, ความแน่นอน

    เขากดปุ่มเอนเทอร์ อลิแอสที่เขาเขียนสั่งคอมไพล์โค้ดภาษาซีชาร์ป และสั่งรันมัน
    ข้อความสีแดงปรากฏบนหน้าจอ แต่ละบรรทัดบอกเลขแถวและคอลัมน์

    โค้ดถูกเปิดขึ้นมาอีกหนึ่งครั้ง เขากวาดสายตาหาบรรทัดที่คอมไพล์เลอร์ทิ้งไว้ให้
    สายตากวาดอยู่ไม่นานก่อนลงมือพิมพ์อีกเล็กน้อย

    เขาออกจากโปรแกรมแก้โค้ด สั่งคอมไพล์และรันอีกครั้ง
    ครั้งนี้บรรทัดสีแดงๆ หมดไป โปรแกรมของเขาพรอมพต์รับคำสั่ง

    เทสเคสถูกป้อนทีละเคส โปรแกรมคำนวนอย่างซื่อสัตย์ของมัน
    ข้อความปรากฏขึ้นบนจอตามที่เขาอยากให้มันเป็น

    เขาป้อนคำสั่ง exit สู่เทอร์มินัล จบงานไปอีกหนึ่งวัน

    เขานอน

    ตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาถามหาตรรกะที่ตายตัวและนิยามของทุกสรรพสิ่ง
    ด้วยความหวังว่าทุกอย่างบนโลกจะเหมือนโค้ด โค้ดที่สามารถแก้ไขให้มันเป็นไปตามที่ต้องการ

    แต่มันไม่ใช่

    โลกนี้กว้างและซับซ้อนเกินกว่าที่จะใช้ตรรกะเดียวกับการโค้ด
    ในเมื่อโดนัลด์ คนัธ บอกว่าอัลกอริทึมคือวิธีการแก้ปัญหาที่ตามได้และตายตัว โลกนี้ก็ไม่มีอัลกอริทึมสำหรับแก้ปัญหาชีวิต

    ภายใต้ความอ่อนแอทางความรู้สึก เขาพยายามถามหาความแน่นอน เขาพยายามทำให้มั่นใจว่าทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม

    แต่โลกนี้ก็ไม่มีความแน่นอน เหมือนที่มันเป็นตลอด

    ทันทีที่ระลึกได้เช่นนั้น ความรู้สึกของเขาก็อ่อนแอลงไปอีก

    จะมีอะไรที่เขารู้สึกมั่นคงได้บ้างไหม

  • อดทนเวลาที่ฝนพรำ

    “จริงๆ นะ อดทนเวลาที่ฝนพรำ”
    “แล้วเมื่อไหร่มันจะหยุดล่ะ”

    เขาพูดพลางมองท้องฟ้าสีหม่น หยดฝนโปรยปรายลงมาช้าๆ

    “ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะหยุดเมื่อไหร่”
    “มันก็เหมือนความสุขของเราแล้วแหละถ้างั้น เธอบอกว่าเธอเชื่อว่าวันนึงเราจะมีความสุขอีกครั้ง แต่เราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อไหร่”

    หากไม่รู้จักเจ็บปวด ก็คงไม่รู้ซึ้งถึงความสุขใจ

    “งั้นเธอเชื่อในการรอคอยไหมล่ะ”
    “เชื่อมั้งนะ”
    “ได้ งั้นเราจะรอดูเธอมีความสุขนะ”
    “แต่เราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นะ ชอบเหรอ การรอคอยที่ไร้จุดหมาย”
    “ไม่ชอบหรอก แต่เราจะรอ :)”

    ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ…

  • กลับจากเลิฟวิงเวย์

    “ไม่คิดว่าไร้สาระเหรอ? ปั่นจักรยานที่เลิฟวิงเวย์แล้วจะเลิกกันเนี่ย”
    “ตอนก่อนคบกันมึงชวนกูมาปั่นให้ได้คบกัน”

    วันที่หนึ่ง
    จักรยานหนึ่งคันค่อยๆ ออกตัว บนตรอกที่ชื่อว่าเลิฟวิงเวย์ ที่ที่เชื่อว่าหากคู่รักซึ่งคบกันแล้วคู่ใดมาปั่นจักรยานด้วยกันจนสุดทาง โดยให้ผู้หญิงเป็นคนปั่น คู่นั้นจะเลิกกันในที่สุด

    เสียงตกใจดังขึ้นขณะจักรยานค่อยๆ เซ เท้าพยายามดันจักรยานไม่ให้ล้ม แต่ไม่เป็นผล
    เสียงโครมดังขึ้น ร่างกายทั้งสองคนเคลื่อนจากจักรยานสู่พื้น
    แผลถลอกปรากฏขึ้น ไม่มากแต่ไม่น้อย

    เหมือนวันแรกที่คบกันนี่หว่า

    “ไม่เป็นไร มา ลุกขึ้นนะ”
    มือหนึ่งยังจับร่างเล็กขึ้นมาจากพื้น ลูบหัวเบาๆ เหมือนวันแรกที่พบเจอ
    จูงจักรยานกลับบ้านกับความฝันที่ไม่สมหวัง

    “แปลก! กูเคยพยายามปั่นแทบตายให้ได้คบกับไอ้เหี้ยนี่ วันนี้กำลังปั่นให้เลิกกับแม่ง” ความคิดหนึ่งผุดในหัวเธอ

    วันที่สอง
    จักรยานคันเดิมค่อยๆ ปั่น
    แม้จะทุลักทุเล แต่ก็ไม่เท่าวันแรก

    วันที่สาม
    จักรยานคันเดิมค่อยๆ ปั่น
    ทุลักทุเลน้อยกว่าสองวัน

    “เธอจำได้ป่ะว่าตอนเรามาปั่นครั้งแรก แม่งล้มกันระเนระนาด”
    “ใช่ป่ะ เธอโอ๋เราดีมากเลยนะ ไม่เหมือนตอนนี้เลยรู้ไหม”
    “ถ้าเธอหมายถึงที่สวนวันนั้นเราขอโทษนะ ตอนนั้นตกใจมากจริงๆ”

    บทสนทนาถึงวันเก่าๆ ค่อยๆ ขึ้นมา
    แน่นอน ความทรงจำเก่าๆ ขึ้นมาตามสายลมเช่นกัน

    วันที่สี่ ห้า หก ผ่านไป
    ความทุลักทุเลเปลี่ยนเป็นเรื่องคุยมากขึ้น
    อ้อมกอดของเขาที่กอดเธอจากข้างหลังยังอุ่นเหมือนเดิม

    วันที่เจ็ด
    จักรยานคันเดิมค่อยๆ ออกตัวบนตรอกที่ชื่อว่าเลิฟวิงเวย์
    จังหวะการปั่นหนักแน่น มั่นคง ถึงจะไม่เร็วแต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าจะล้ม

    ใกล้ถึงจุดหมาย จักรยานคันหนึ่งหยุดกระทันหัน

    “เธอจะปล่อยให้เราปั่นไปจนจบจริงๆ ป่ะ ให้เลิกกัน มันคงสมใจเธอเนอะ”
    “เลิฟวิ่งเวย์นี่ปกติเวลาปั่นต้องหลังชนกันใช่ป่ะ”
    “ใช่”
    “หลังชนกันแล้วเราจะกอดเธอจากข้างหลังเหมือนที่ปั่นทุกวันได้ไง”

    ความเงียบแผ่คลุมชั่วขณะ

    “เราอยากให้เธอคิดนะ ตลอดเวลาที่เรามาปั่นกัน เราพูดถึงทั้งความทรงจำที่ดีและไม่ดี เรายิ้มตลอดนะ เรากลับรู้สึกว่ากับเรื่องไม่ดี เราก็ผ่านมันมาได้หมดแล้ว

    กลับมาสู้กันต่อได้ไหม สู้กับปัญหาเหมือนที่เราเคยปั่นจักรยานมาด้วยกันเนี่ย”

    แสงจากหลอดไฟหลอดเดิม บรรยากาศเหมือนกับวันนั้นที่เขาขอคบกับเธอ

    “กลับมาดีกันนะ”

    สองคนปั่นจักรยานกลับบ้าน
    ถนนเส้นเดิม และครั้งนี้เป็นทางชีวิตเส้นเดิมเช่นกัน

    แต่เป็นทางเส้นเดิมที่น่ายินดี

  • ไปสู่เลิฟวิงเวย์

    “ไม่คิดว่าไร้สาระเหรอ? ปั่นจักรยานที่เลิฟวิงเวย์แล้วจะได้คบกันเนี่ย”
    “ไม่นะ”
    “เหอะ ไร้สาระฉิบหาย”
    “เออ งั้นก็ขอไร้สาระสักรอบละวะ”

    วันที่หนึ่ง
    จักรยานหนึ่งคันค่อยๆ ออกตัว บนตรอกที่ชื่อว่าเลิฟวิงเวย์ ที่ที่เชื่อว่าหากคู่ใดมาปั่นจักรยานด้วยกันจนสุดทาง โดยให้ผู้หญิงเป็นคนปั่น คู่นั้นจะได้คบกันในที่สุด

    เสียงตกใจดังขึ้นขณะจักรยานค่อยๆ เซ เท้าพยายามดันจักรยานไม่ให้ล้ม แต่ไม่เป็นผล
    เสียงโครมดังขึ้น ร่างกายทั้งสองคนเคลื่อนจากจักรยานสู่พื้น
    แผลถลอกปรากฏขึ้น ไม่มากแต่ไม่น้อย

    ร่างหนึ่งพยายามพยูงตัวเอง อีกร่างหนึ่งยังตกใจและเจ็บแผล น้ำตาค่อยๆ ไหล

    “เค้าขอโทษ ลุกขึ้นมามะ”
    มือหนึ่งยื่นเข้ามา ดึงอีกมือหนึ่งขึ้น
    ประคองกันจนไม่ล้ม ลูบหัวอีกฝั่ง จูงจักรยานกลับบ้าน

    เอาเข้าจริงก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลว

    วันที่สอง
    จักรยานคันเดิมค่อยๆ ปั่น
    แม้จะทุลักทุเล แต่ก็ไม่เท่าวันแรก

    วันที่สาม
    จักรยานคันเดิมค่อยๆ ปั่น
    ทุลักทุเลน้อยกว่าสองวัน รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนหน้า
    หลังชิดหลัง สัมผัสความใกล้ท่ามกลางแสงจันทร์

    วันที่สี่ ห้า หก ผ่านไป
    ความทุลักทุเลเปลี่ยนเป็นเรื่องคุย
    แผลถลอกเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบนหน้า
    ค่อยๆ ใกล้กัน ผูกพันกัน ดูแลกัน

    วันที่เจ็ด
    จักรยานคันเดิมค่อยๆ ออกตัวบนตรอกที่ชื่อว่าเลิฟวิงเวย์
    จังหวะการปั่นหนักแน่น มั่นคง ถึงจะไม่เร็วแต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าจะล้ม

    แม้การปั่นจักรยานจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่การมีเวลาเรียนรู้กันคือหนึ่งในปัจจัยของชีวิตคู่
    เราเกิดมาเพื่อเข้าใจกันและกัน ช่วยเหลือกัน ประคับประคองกัน และเติมความสุขให้กัน

    รู้ตัวอีกที ก็สุดทางจักรยาน
    รู้ตัวอีกที แผลถลอกวันแรกก็เลือนหาย

    “ก็ ปั่นได้ละเนอะ”
    “อื้ม แล้ว?”
    “ก็ ทางจักรยานมันจบแค่นี้อ่ะ แต่เราอยากปั่นกับเธอต่อ”

    ไฟถนนสาดแสง ถึงบรรยากาศกรุงเทพมหานครจะไม่ชวนให้มองท้องฟ้า แต่เอาเข้าจริงทั้งสองก็อยู่ใต้ดาวนับพัน

    “มาปั่นด้วยกันบนทางของเรากันนะ”

    สองคนปั่นจักรยานกลับบ้าน
    ถนนเส้นเดิม แต่เป็นทางชีวิตเส้นใหม่

  • ถ้าเธอคิดจะลืมเขา

    “ไม่เปลี่ยนเพลงฟังบ้างเหรอ”
    “อือ ไม่เปลี่ยนอ่ะ”

    “นอกจากจะเป็นคนที่ไม่ฟังเพลงบ่อยๆ แล้ว ถ้าจะฟังแต่ละทียังฟังแต่เพลงซ้ำๆ สินะ”
    “อื้ม ก็เป็นแบบนั้นมาตลอดละมั้ง”

    “นี่ เปลี่ยนเพลงได้ไหม มีเพลงอยากให้ฟังอ่ะ”
    “หืม? ก็ได้”



    “ถ้าเธอคิดจะลืมเขา เธออย่าฟังแต่เพลงเศร้าอีกเลย?”
    “ใช่ ถ้าเธอคิดจะลืมเขา เธออย่าฟังแต่เพลงเศร้าอีกเลย”

    “อ่ะ จบละ ทีนี้จะยังฟังเพลงเศร้าอยู่อีกป่ะ”
    “ฟัง”

    “แล้วทำไมเธอต้องฟังเพลงเศร้า ถ้าเธอคิดจะลืม”

    “แล้วถ้าเราไม่เคยคิดจะลืมเลยล่ะ?”


    ปล. บล็อกนี้ไม่เกี่ยวกับอดีต

     

  • เพราะเธอไม่ใช่ดวงตะวัน

    หากเธอเป็นดวงตะวัน
    ที่สาดแสงแรงกล้าไม่ว่าโลกจะสดใสหรือซึมเศร้า
    ฉันคงไม่อายที่จะบอกเธอ ว่าช่วยเปล่งแสงให้ฉัน
    ว่าแสงของเธอช่างสดใสเหลือเกิน

    แต่เพราะเธอไม่ใช่ดวงตะวัน เธอเป็นคนสามัญ
    ที่ความรู้สึกขึ้นและลง
    ฉันจึงไม่กล้าบอกเธอ

    ลึกๆ ฉันต้องการแสงสว่างแค่ไหน ฉันบอกไม่ได้
    แสงที่ฉันได้มาอาจแลกกับพลังของเธอที่ถดถอยลง

    ถึงตอนนั้นฉันจะอยากได้แสงตะวันหรือ
    เมื่อความอยากได้ของฉันมันกำลังทำร้ายเธอ

    อาจเป็นเพราะเธอไม่ใช่ดวงตะวัน
    อาจเป็นเพราะฉันไม่อยากทำร้ายเธอ