“ไม่คิดว่าไร้สาระเหรอ? ปั่นจักรยานที่เลิฟวิงเวย์แล้วจะได้คบกันเนี่ย”
“ไม่นะ”
“เหอะ ไร้สาระฉิบหาย”
“เออ งั้นก็ขอไร้สาระสักรอบละวะ”
วันที่หนึ่ง
จักรยานหนึ่งคันค่อยๆ ออกตัว บนตรอกที่ชื่อว่าเลิฟวิงเวย์ ที่ที่เชื่อว่าหากคู่ใดมาปั่นจักรยานด้วยกันจนสุดทาง โดยให้ผู้หญิงเป็นคนปั่น คู่นั้นจะได้คบกันในที่สุด
เสียงตกใจดังขึ้นขณะจักรยานค่อยๆ เซ เท้าพยายามดันจักรยานไม่ให้ล้ม แต่ไม่เป็นผล
เสียงโครมดังขึ้น ร่างกายทั้งสองคนเคลื่อนจากจักรยานสู่พื้น
แผลถลอกปรากฏขึ้น ไม่มากแต่ไม่น้อย
ร่างหนึ่งพยายามพยูงตัวเอง อีกร่างหนึ่งยังตกใจและเจ็บแผล น้ำตาค่อยๆ ไหล
“เค้าขอโทษ ลุกขึ้นมามะ”
มือหนึ่งยื่นเข้ามา ดึงอีกมือหนึ่งขึ้น
ประคองกันจนไม่ล้ม ลูบหัวอีกฝั่ง จูงจักรยานกลับบ้าน
เอาเข้าจริงก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลว
วันที่สอง
จักรยานคันเดิมค่อยๆ ปั่น
แม้จะทุลักทุเล แต่ก็ไม่เท่าวันแรก
วันที่สาม
จักรยานคันเดิมค่อยๆ ปั่น
ทุลักทุเลน้อยกว่าสองวัน รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนหน้า
หลังชิดหลัง สัมผัสความใกล้ท่ามกลางแสงจันทร์
วันที่สี่ ห้า หก ผ่านไป
ความทุลักทุเลเปลี่ยนเป็นเรื่องคุย
แผลถลอกเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบนหน้า
ค่อยๆ ใกล้กัน ผูกพันกัน ดูแลกัน
วันที่เจ็ด
จักรยานคันเดิมค่อยๆ ออกตัวบนตรอกที่ชื่อว่าเลิฟวิงเวย์
จังหวะการปั่นหนักแน่น มั่นคง ถึงจะไม่เร็วแต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าจะล้ม
แม้การปั่นจักรยานจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่การมีเวลาเรียนรู้กันคือหนึ่งในปัจจัยของชีวิตคู่
เราเกิดมาเพื่อเข้าใจกันและกัน ช่วยเหลือกัน ประคับประคองกัน และเติมความสุขให้กัน
รู้ตัวอีกที ก็สุดทางจักรยาน
รู้ตัวอีกที แผลถลอกวันแรกก็เลือนหาย
“ก็ ปั่นได้ละเนอะ”
“อื้ม แล้ว?”
“ก็ ทางจักรยานมันจบแค่นี้อ่ะ แต่เราอยากปั่นกับเธอต่อ”
ไฟถนนสาดแสง ถึงบรรยากาศกรุงเทพมหานครจะไม่ชวนให้มองท้องฟ้า แต่เอาเข้าจริงทั้งสองก็อยู่ใต้ดาวนับพัน
“มาปั่นด้วยกันบนทางของเรากันนะ”
สองคนปั่นจักรยานกลับบ้าน
ถนนเส้นเดิม แต่เป็นทางชีวิตเส้นใหม่
Leave a Reply